คอนเสิร์ตเดี่ยวในรอบ 18 ปี และจิตวิญญาณทางดนตรีของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

คอนเสิร์ตเดี่ยวในรอบ 18 ปี และจิตวิญญาณทางดนตรีของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

18 ปี ที่บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ เดินอยู่บนเส้นทางสายดนตรีอย่างมีชีวิตชีวา ด้วยแนวเพลงที่มีกลิ่นอายยุค 70 จนทุกคนต่างยกให้เขาเป็นเจ้าพ่อดิสโก้ของเมืองไทย พร้อมกับมีเพลงฮิตติดหูอย่าง “รักไม่ได้” “หยุด” “เธอทั้งนั้น” ฯลฯ แม้ว่าเขาจะแบ่งภาคไปทำธุรกิจครอบครัวบ้าง แต่อย่างไรเสียคุณพ่อลูกสองคนนี้ก็ไม่เคยที่จะละเลยการทำางานเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่เขารักและมีแพสชั่นอย่างต่อเนื่อง เร็วๆ นี้ บุรินทร์กำลังจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในรอบ 18 ปี “BURIN BOONVISUT DISCO IN TUXEDO”  ในวันที่ 19 ตุลาคม 2562 ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ครั้งนี้เขาจะมาในคอนเซ็ปต์สายลับเจ้าเสน่ห์โดยมีแขกรับเชิญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเบน-ชลาทิศ ตันติวุฒิ, นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ, โบ-สุรัตนาวี ภัทรานุกุลและจ๊อยซ์-กรภัสสรณ์ รัตนเมธานนท์ จากไทรอัมพ์ส คิงดอม, วงเดอะพาร์กินสัน, โต้ง-พิทวัส พฤกษกิจ (โต้ง 2P Southside) และเจ-เจตริน วรรธนะสิน นอกจากนี้ยังมีเพลงใหม่ๆ มาฝากกันอีกด้วย และเนื่องจากบุรินทร์ห่างหายจากการทำเพลงใหม่ไปถึง 8 ปี กลับมาครั้งนี้เลยต้องใส่เต็มที่เพื่อให้สมกับที่แฟนๆ รอคอย

 

คุณกลังจะมีคอนเสิร์ตในวันที่ 19 ตุลาคม เห็นว่าจัดใหญ่จัดเต็มมากๆ เลยใช่ไหม

ใช่ครับ คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกที่เราตั้งใจและจัดใหญ่มากที่สุด ทุ่มทุนมากที่สุดและคนดูน่าจะเยอะที่สุด เพราะจัดที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ความพิเศษครั้งนี้คือเรื่องของคอนเซ็ปต์ โดยเราจะนำภาพยนตร์กับคอนเสิร์ตมารวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียว ความรู้สึกของคนดูที่ได้รับจะกลายเป็นความรู้สึกแบบใหม่ ไม่ใช่มาดูคอนเสิร์ตอย่างเดียว เราใช้ชื่อว่า “BURIN BOONVISUT DISCO IN TUXEDO” เพราะทางค่ายมิวซิกมูฟ เรคคอร์ดส ในเครือบริษัท มิวซิก มูฟ จำกัด และทางผู้จัดพี่เต๊ด-ยุทธนา บุญอ้อม เขาบอกว่าเนื่องจากผมเล่นเพลงแนวดิสโก้มาตลอด 18 ปีและทุกครั้งก็จะเห็นผมมีสูทใส่อยู่ตลอดเวลาทำให้เขาเห็นผมเหมือนเป็นสายลับคนหนึ่ง เวลาไปงานไหน เล่นคอนเสิร์ตที่ไหนจะดูมีความเป็นลึกลับ เพราะฉะนั้นก็น่าจะทำอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องของดิสโก้กับทักซิโด้ และสายลับมารวมกัน เลยเริ่มไอเดียในการสร้างเป็นภาพยนตร์ขึ้นมา คอนเสิร์ตครั้งนี้จะเหมือนการเข้าไปดูหนังเลยครับ มีเครดิตไตเติลหนังขึ้นโปสเตอร์ มีฉากเซ็กซี่ ฉากไล่ล่า ฉากระเบิดบ้าน จะครบรสอยู่ในนั้น และตอนจบก็จะมี end credit ด้วยครับ

 

“อัลบั้มนี้ผมใช้งบประมาณเกือบจะ 5 ล้านบาทแล้ว ถามว่าจะสามารถคืนเงินค่ามาสเตอร์ได้ไหม ก็ต้องบอกว่าเราไม่แคร์เรื่องนั้นแต่อยากจะให้อัลบั้มนี้เป็นงานที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยทำมาเพื่อเก็บไว้ฟังเองได้อย่างภาคภูมิใจ ให้อีก 20 ปีข้างหน้าเพลงในอัลบั้มนี้ก็ยังเป็นเพลงที่ผมยังฟังได้อยู่”

 

นอกจากนี้คุณกำลังจะมีอัลบั้มใหม่ด้วย ห่างจากอัลบั้มก่อนหน้ำไปถึง 8 ปี ครั้งนี้มีอะไรมาฝากกันบ้าง

อัลบั้มนี้ชื่อ Starlight Express ครับ คอนเซ็ปต์คือยานพาหนะอีกแล้ว ซึ่งทุกอัลบั้มที่ผ่านมาก็จะเป็นเรื่องการเดินทางและยานพาหนะหมด ไม่ว่าจะเป็น Lift, Discovery, Grand Turismo แต่ครั้งนี้เป็นยานพาหนะที่ผมชอบที่สุด ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ผมชอบนั่งรถไฟตั้งแต่เด็ก เก็บของเล่นที่เป็นรถไฟ ผมมีความรู้สึกดีมากทุกครั้งที่ได้ขึ้นรถไฟ บางทีถ้าให้เลือกการเดินทางด้วยรถไฟหรือเครื่องบิน ผมก็จะเลือกรถไฟ เพราะว่าสิ่งที่จะมองเห็นระหว่างทางมันไม่เหมือนกันความรู้สึกที่ได้ขึ้นรถไฟ ได้เดินผ่านโบกี้หนึ่งไปอีกโบกี้หนึ่ง มันไม่อึดอัด ไม่เหมือนเครื่องบินและอยู่ติดพื้น ได้เห็นทุ่งหญ้าภูเขา ทะเลตลอดเวลา เป็นความรู้สึกที่ดี ครั้งนี้ Starlight Express คือรถไฟที่จะพาคุณท่องเข้าไปในเพลงใหม่ของผม อัลบั้มใหม่ คอนเซ็ปต์ใหม่ พาเข้าไปในอวกาศ เพลงในอัลบั้มใหม่มีความหลากหลาย และห่างจากอัลบั้มที่แล้ว 8 ปี และผมใช้ระยะเวลา 6 ปีเต็มๆ ในการทำ นั่นเป็นเพราะพอผมโตขึ้นภาระหน้าที่ในการทำางานมีหลากหลาย ผมก็เริ่มธุรกิจใหม่ๆ หลายอย่าง คืองานชิ้นนี้เราเริ่มทำเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แต่พอทำอยู่ประมาณ 2 ปีกว่าๆ ปรากฏว่าผมมีธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นมาคือไปเป็นดีลเลอร์รถเบนซ์กับฮอนด้า ภายใต้ชื่อเมโทรฮอนด้าออโตโมบิล จำกัดและบริษัท เมโทร ออโต้เฮาส์ จำกัด หลัง จากนั้นอีกปีหนึ่ง ผมก็มารู้ว่าคุณพ่อเริ่มทำคอมมูนิตี้มอลล์ ตอนแรกพ่อไม่ได้ให้ใครช่วย แต่พอรู้ปุ๊บ ก็คิดว่าเรื่องไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันก็น่าจะให้คนยุคปัจจุบันเป็นคนทำ เพราะคุณพ่อผมก็อายุ 70 กว่าแล้ว ก็เลยขอยื่นมือไปว่าผมขอเป็นคนที่เข้ามาทำตรงนี้ดีกว่า เราก็เริ่มปั้นจากศูนย์ ค่อยๆ เรียนรู้อะไรต่างๆ เริ่มไปเข้าคอร์สการเรียน ไปศึกษาว่าทำรีเทล อย่างไรให้สามารถเติบโตและอยู่ได้ นั่นล่ะครับที่หายไปเลย 3 ปีเต็มๆ แต่เพลงถูกแต่งไว้เสร็จแล้วครึ่งหนึ่ง เราร้องอัดดนตรีไว้แล้วด้วย ซึ่งพอธุรกิจ 3 อย่างที่สร้างขึ้นมาเริ่มอยู่ตัว ก็รู้สึกว่าอยากกลับมาทำสิ่งที่ค้างไว้อยู่ คืออัลบั้ม Starlight Express นี่ล่ะ แต่ปรากฏว่าไอเดียที่ผมคิดในตอนนั้นเริ่มไม่ใหม่ เป็นไอเดียที่คนเริ่มเอามาใช้กันบ้างแล้วเลยต้องรื้อใหม่ทั้งหมดแทบจะประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะให้ทันยุคทันสมัยและเป็นไปตามความชอบของเรา จนกลายมาเป็นเพลงในอัลบั้มนี่ล่ะครับ

 

 

โปรดักชั่นของอัลบั้มนี้คุณทุ่มทุนสร้างมากด้วย

(หัวเราะ) เราอยากทำให้ดีที่สุดครับ ในอัลบั้มนี้ นักดนตรีที่ผมเลือกใช้ล้วนอยู่ในระดับโลก อย่างมือเบส เขาก็เล่นให้กับไมเคิล แจ็กสัน เล่นให้กับวง Daft Punk มือกลองก็เล่นให้กับอินเตอร์เนชั่นแนลทั้งหมด Mixed Engineer ของผมก็ทำให้นักดนตรีเก่งๆ มาแล้วทั่วโลก Mastering Engineer คนนี้ก็ทำให้กับไมเคิล แจ็กสัน ทำให้เลนนี่ คราวิตซ์ คือการบันทึกอัลบั้มนี้เป็นทีมงานทีอเมริกาเสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นผมถึงไม่ได้ประนีประนอมเลยกับการที่ว่าอัลบั้มนี้ต้องมีต้นทุนเท่าไหร่ ทำแล้วจะมีกำไรหรือเปล่า แต่อยากทำให้เป็นมาสเตอร์พีซของผม คืออายุเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว อยู่ในวงการนี้มานาน ถ้าให้เงินผลมา 3-6 แสนบาท หรือ 1 ล้านบาท ในการมาทำอัลบั้ม ผมบอกว่า ผมทำไม่ได้ เพราะเรารอทำอัลบั้มนี้มาถึง 6 ปี เพราะฉะนั้น ถ้ารู้สึกอะไร ก็อยากจะใส่เติมเข้าไปแบบเต็มที่ อัลบั้มนี้ผมใช้งบประมาณเกือบจะ 5 ล้านบาทแล้ว ถามว่าจะสามารถคืนเงินค่ามาสเตอร์ได้ไหม ก็ต้องบอกว่าเราไม่แคร์เรื่องนั้นแต่อยากจะให้อัลบั้มนี้เป็นงานที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยทำมาเพื่อเก็บไว้ฟังเองได้อย่างภาคภูมิใจ ให้อีก 20 ปีข้างหน้าเพลงในอัลบั้มนี้ก็ยังเป็นเพลงที่ผมยังฟังได้อยู่

 

“ผมชอบสตีวี่มาก ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าชอบเขา จนกระทั่งมานับว่าผมร้องเพลงของศิลปินคนไหนได้มากที่สุดซึ่งก็คือเขา ก็เลยรู้ตัวว่าเราชอบเขามากนะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากร่วมงานกับสตีวี่มากๆ ครับ”

 

 

ย้อนไปเมื่อ 18 ปีที่แล้ว เป้าหมายในการร้องเพลงตอนนั้นของคุณคืออะไร และวันนี้เป้าหมายการร้องเพลงคืออะไร

18 ปีที่แล้ว เราคือวัยรุ่นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ได้มาร้องเพลง เพราะผมไม่เคยมีแบ็กกราวนด์ทางด้านร้องเพลงแต่เป็นคนที่ชอบฟังดนตรีมาก เป็นคนบ้าดนตรี มีแพสชั่นเกี่ยวกับดนตรีตลอดเวลา ฟังเพลงทั้งวัน และนั่งแกะว่าเพลงนี้มาจากไหน มาจากยุคไหน ใครร้อง นักดนตรียุคไหน จนได้มาร้องเพลง มันก็คือความฝันของเรา ได้มีผลงานของตัวเอง ผ่านเวลามา 18 ปี ผมก็ยังอยู่ในวงการนี้ และก็ยังมีเพลงที่คนรู้จักมากมาย ทุกๆ อัลบั้มเรายังได้รับรางวัลตลอด ปัจจุบันผมยังสนุกกับการร้องเพลง แต่เป้าหมายเปลี่ยนจากความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ผลิตงานออกมาเป็นความรู้สึกว่า งานที่ผลิตออกมาต้องมีคุณภาพมากๆ สมกับที่เราคิดไว้ว่านี่เป็นมาตรฐานของเรา คือถ้าออกมาแล้ว ง่ายๆ งูๆ ปลาๆ สุกเอาเผากิน ผมว่าไม่ต้องทำดีกว่า ทำแล้วต้องทำให้ดีที่สุด

 

เพลงฮิตตลอดกาลที่มักจะถูกขอให้ร้องบ่อยๆ จนถึงวันนี้คือเพลงอะไร

มีอยู่ประมาณสัก 3-4 เพลง คือ “หยุด” “เธอทั้งนั้น” “รักไม่ได้” “เกือบ” ปัจจุบันมีเพิ่มเข้ามาอีกเพลง คือเพลง “ขอโทษ” เป็นเพลงใหม่ที่อยู่กับมิวซิกมูฟ เรคคอร์ดส ซึ่งเพลงอื่นๆ บางทีน้องๆ ยุคใหม่อาจจะโตมาไม่ทันยุคที่ผมออกอัลบั้มช่วงแรก แต่เพลง ”ขอโทษ” ซึ่งอยู่ในอัลบั้มนี้ เป็นเพลงที่ทำให้น้องๆ รุ่นใหม่ได้กลับมารู้จักผมมากขึ้น และกลับไปฟังเพลงของผม ล่าสุดผมจัดแฟนมีตติ้ง มีน้องคนหนึ่งตัวเล็กมาก อายุ 15 ปี ซึ่งเขาเกิดไม่ทันอัลบั้มแรกของผม แต่เขารู้จักผมจากเพลง “เกือบ” คือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เขาฟังตอน 8 ขวบ ก็ถือว่าเป็นเด็กที่ชอบฟังเพลงเหมือนกัน แล้วก็เริ่มติดตามตั้งแต่ตอนนั้น ผมดีใจที่ดนตรีเป็นสื่อกลางในการทำให้เรายังเชื่อมต่อกับคนได้หลายยุคหลายสมัย อีกอย่างดนตรีมันคือความสุขของผมที่พูดได้เลยว่าหาไม่ได้จากที่อื่นเพราะว่าผมเป็นคนชอบฟังเพลง ชอบอยู่กับดนตรี ชอบอยู่กับนักดนตรีมากๆ มันเป็นแพสชั่นของเรา สุดท้ายเราได้ทำงานออกมา แล้วมีคนชอบ คิดตรงกับเรา และเป็นแฟนเพลงของเรา ไปร้องเพลงทีไหนแลว้ เขาร้องเพลงกับเรา ความรู้สึกสุขแบบนี้เป็นความรู้สึกที่หาจากที่ไหนไม่ได้นอกจากตรงนี้ครับ

 

 

คุณเป็นศิลปินอีกคนที่มีเสน่ห์อย่างมากเวลาที่อยู่บนเวที มีวิธีการหรือเทคนิคอย่างไรถึงสามารถตรึงคนดูไว้ได้

ถ้าเป็นเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ตัวผม เขาจะรู้ว่าธรรมชาติของผมเป็นคนแบบนี้เลย ในช่วงแรกๆ ที่ผมยืนอยู่แบบ 2 ขา คือ เป็นนักธุรกิจด้วยและเป็นนักร้องด้วย ก็เคยกังวลนะว่า ถ้าผมสนุกมากเกินไปหรือฟีลมากเกินไป มันจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน เราเป็นคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นนั่นล่ะดีที่สุด ผมเลยเป็นคนสนุกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเวที และจริงๆ ผมว่าหลังเวทีผมสนุกกว่าอีกนะ (หัวเราะ) ทุกๆ อาฟเตอร์ปาร์ตี้หลังคอนเสิร์ต ผมจะสนุกมากกว่า (หัวเราะ) แล้วถ้าเราเล่นดนตรีโชว์ตามบาร์ ผับ อีเวนต์ หรือเฟสติวัล เราจะเล่นประมาณ 10 เพลง แต่อาฟเตอร์ปาร์ตี้หลังจากงานเหล่านั้น เราจะมาเล่นดนตรีกันต่ออีกมากกว่า 30 เพลงนะครับ เล่นกันทั้งคืน

 

“สมมติว่าต้องไปเล่นคอนเสิร์ตต่างประเทศ ผมจะพาครอบครัวไปด้วยเลย ค่าตัวก็ไม่ได้คุ้มค่านะครับ (หัวเราะ) ขาดทุนตั้งแต่ออกตัวจากกรุงเทพฯ แล้วคือเวลาไปทัวร์คอนเสิร์ต เราก็จะได้ความประทับใจ แต่การที่ได้ไปเที่ยวกับลูก กับภรรยา ผมก็จะได้ความประทับใจที่เราจะนึกถึงเมมโมรี่ตรงนั้นว่า ตอนที่ไปทัวร์อเมริการอบนี้ลูกเราอายุเท่าไร ครอบครัวเราไปทำอะไรกันมาบ้าง”

 

ถ้าสามารถเลือกใครสักคนมาเป็นแขกรับเชิญหรือไปร่วมแจมบนเวทีกับใครได้ ใครที่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดเพราะอะไร

เอาปัจจุบันนี้เลยนะครับ จริงๆ ผมทำเพลงมาแล้วเพลงหนึ่ง ซึ่งผมพยายามติดต่อ เขาไปอยู่ ผมอยากให้สตีวี วันเดอร์มาเป่าฮาร์โมนิก้าให้ คือไม่ต้องร้องก็ได้ครับ มันยากเกินไป ผมอยากจะทำเพลงนี้ให้กับมูลนิธิคนตาบอดทั่วโลก เพื่อจะนำไปทำอะไรก็ตาม เพลงนี้ชื่อว่า “แสงที่ปลายทาง” ซึ่งจะเป็นเพลงสุดท้ายที่บรรจุอยู่ในอัลบั้มของผม ตอนนี้ผมกำลังดำเนินการติดต่อเขาอยู่ เพราะผมชอบสตีวี่มาก ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าชอบเขา จนกระทั่งมานับว่าผมร้องเพลงของศิลปินคนไหนได้มากที่สุดซึ่งก็คือเขา ก็เลยรู้ตัวว่าเราชอบเขามากนะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากร่วมงานกับเขามากๆ ครับ

 

อย่างที่คุณเล่ามาว่ามีหลายหน้าที่ที่ต้องดูแลรับผิดชอบ มีวิธีจัดสมดุลชีวิตอย่างไรให้ลงตัวในทุกๆ ด้าน

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ (หัวเราะ) ผมทำมา 18 ปีเต็มๆ แล้ว ทำจนมันกลายเป็นธรรมชาติ คือเวลางานก็จะมีช่วงเวลาของมัน แต่ส่วนใหญ่ผมจะแบ่งความเข้มข้นเป็นซีซั่นหรือฤดูกาล สมมติ 3 เดือนนี้ ผมขอเข้มข้นกับเพลง อีก 4 เดือนนี้ผมกลับไปเข้มข้นกับรถ 4 เดือนนี้เราทัวร์คอนเสิร์ตอย่างเดียว แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ทิ้งทุกอย่าง เราก็ยังมีการประชุมการเข้างานกันอยู่ตลอดเวลา ไอเดียใหม่ๆ ของการทำธุรกิจหรือการทำเพลงตลอดเวลา ส่วนครอบครัว ผมเจอกันทุกวัน คือผมจะไม่เคยไปทัวร์เกิน 2 วัน จะบินไปและบินกลับ แล้วก็ไปเริ่มจังหวัดใหม่ อย่างไรก็ต้องกลับมากรุงเทพฯ กลับมาอยู่กับครอบครัวก่อน ถ้าสมมติว่าต้องไปเล่นคอนเสิร์ตต่างประเทศ ผมจะพาครอบครัวไปด้วยเลย ค่าตัวก็ไม่ได้คุ้มค่านะครับ (หัวเราะ) ขาดทุนตั้งแต่ออกตัวจากกรุงเทพฯ แล้วคือเวลาไปทัวร์คอนเสิร์ต เราก็จะได้ความประทับใจ แต่การที่ได้ไปเที่ยวกับลูก กับภรรยา ผมก็จะได้ความประทับใจที่เราจะนึกถึงเมมโมรี่ตรงนั้นว่า ตอนที่ไปทัวร์อเมริการอบนี้ลูกเราอายุเท่าไร ครอบครัวเราไปทำอะไรกันมาบ้าง ซึ่งผมมองว่าเด็กโตขึ้นทุกวัน ปัจจุบันก็เริ่มโตแล้ว แล้วเวลามันเดินเร็วมาก เพราะฉะนั้นการที่ไม่ได้เจอเขาวันหนึ่ง หรืออาทิตย์หนึ่ง หรือเดือนหนึ่ง มันน่าเสียดาย เราเลยต้องอยู่ใกล้ชิดกันให้ได้มากที่สุด เพราะว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน ดังนั้นเราควรใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด

 

 

 

นายแบบ: บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

แต่งหน้า-ทำผม: ฐปกรพัฒน์ ยุวนิช

ช่างภาพ: ทินกร วงเบญจศิลป์

ผู้ช่วยช่างภาพ: ธนพร พิกุล, ธีรภัทร รัตนกุลชัยอนันท์

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่

♥ Website : www.okmagazine-thai.com
♥ Instagram : www.instagram.com/okmagazinethailand
♥ Facebook : www.facebook.com/okmagthailand
♥ Twitter : twitter.com/okthailand

Comments

comments

okadmin

นิตยสาร OK! เป็นนิตยสารรายแรกและเพียงรายเดียวที่อัพเดตข่าวคราวของเหล่าดาราทั้งในและต่างประเทศได้อย่างเจาะลึกทุกซอกทุกมุม รวมทั้งเรื่องส่วนตัวของเหล่าศิลปินและดาราสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

RELATED ARTICLES

มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน สาวสวยมีเสน่ห์ เผยถึงวิวาห์ในฝันและหนุ่มคนสำคัญของเธอ
สู่ขวัญ บูลกุล ผู้หญิงสวยผู้เปี่ยมไปด้วยพลังในการใช้ชีวิต