
ประเทศญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นประเทศที่คนไทยใฝ่ฝันไปเที่ยวมากที่สุดจนติดอันดับที่หนึ่งอยู่หลายปี ด้วยความสวยงามของวิวทิวทัศน์ รวมถึงวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่ผสมทั้งความเก่าใหม่ผสมรวมกันได้อย่างลงตัว ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศนี้กลมกล่อม ไม่ว่าคุณจะชอบเที่ยวในอารมณ์ไหนก็ตาม
ถือว่าเป็นโชคดีที่ญี่ปุ่นยกเว้นการขอวีซ่าสำหรับคนไทย ทำให้การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นง่ายขึ้นจนมีนักท่องเที่ยวจากไทยไปญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว การเที่ยวญี่ปุ่นอาจจะไม่ง่ายนักสำหรับมือใหม่ การเดินทางครั้งนี้ เราจึงเลือกปรึกษา Be Your Travel แม้จะมีแพ็กเก็จให้เลือกแต่ เราขอเลือกให้วางแผนเที่ยวให้คร่าวๆ เตรียมรถเช่า และจุดหมายปลายทางที่ควรไปแค่นั้นก็พอเพื่อความเป็นส่วนตัว
จุดหมายปลายทางแรกอยู่ที่ภูเขาไฟฟูจิ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่ในลิสต์สถานที่ที่ควรไปครั้งหนึ่งในชีวิต เติมความผจญภัยไปอีกหน่อยด้วยการเลือกเดินทางในเวลากลางคืน ในฤดูหนาวแบบนี้การเดินทางขึ้นฟูจิไม่ใช่เรื่องง่าย การดั้นด้นไปถึงต้องใส่โซ่ที่ล้อรถเพื่อวิ่งบนน้ำแข็งด้วยความเร็วระดับเชื่องช้ากว่าจะถึง Fujisan Garden Hotel (โทร.055-4200-8881) ที่พักแห่งแรกก็เป็นเวลาดึกดื่นเต็มที แต่นั่นก็ไม่อาจขัดขวางการทำกิจกรรมที่ต้องลองอย่างการลงแช่ออนเซนของทางโรงแรมที่มีระดับวัดใจทั้งแบบในร่มและการวิ่งฝ่าความหนาวเย็นนั่งแช่น้ำอุ่นกลางหิมะเย็นเฉียบตัดกับความร้อนระดับเรียกเหงื่อที่ทำให้คืนนั้นหลับสบาย ก่อนจะตื่นเช้ามาพบกับทิวทัศน์สีขาวตัดกับฟ้าริมทะเลสาบ ยามานากะ (Yamanaka) สุดอลังการ
การชมภูเขาไฟฟูจิในฤดูหนาวถือว่าเป็นกิจกรรมวัดดวง ถ้าอากาศดีคุณอาจได้เห็นฟูจิแบบเต็มลูกและอาจจะสามารถขับรถขึ้นไต่ขึ้นไปได้ในระดับสูง เราโชคดีที่ได้เห็นฟูจิแบบเต็มๆ แต่อาจจะดีไม่พอเพราะไม่สามารถไต่ขึ้นภูเขาได้เพราะสภาพถนนไม่อำนวย ได้แต่มองเห็นขั้นบันไดซิกแซก ซึ่งในฤดูร้อนจะมีนักผจญภัยไต่ระดับขึ้นไปชมความงาม และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านบน ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าการขึ้นภูเขาไฟฟูจิถือเป็นการแสวงบุญอย่างหนึ่ง ก่อนมุ่งหน้าเข้าโตเกียว ขาช็อปชาวไทยต้องไม่พลาด Gotemba Premium วOutlets ที่เรียกได้ว่าเป็น Outlet ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น มีร้านค้ากว่า 210 ร้าน รวบรวมสินค้าแบรนด์เนมยอดฮิตหลากหลายแบรนด์เท่าที่จะจินตนาการได้ ทั้ง Tods, Paul Smith, Balenciaga, Dolce & Gabbana ฯลฯ ในราคาที่ถูกกว่าช็อปทั่วไป ดึงดูดพอที่จะงดช็อปปิ้งตลอดทั้งปีเพื่อรอมาใช้เงินที่นี่
ต่อจากนั้นเราออกเดินทางสู่โตเกียว ซึ่งในช่วงปีใหม่แบบนี้ค่อนข้างเงียบกว่าปกติ เพราะคนโตเกียวจริงๆ เลือกจะเดินทางไปเที่ยวนอกเมืองกันมากกว่า ในขณะที่เมืองหลวงอื่นอาจจะนิยมการปาร์ตี้อึกทึก แต่ในโตเกียวสถานที่ที่ดูคึกคักกลับเป็นวัดและศาลเจ้าเสียมากกว่า เริ่มตั้งแต่วัดอาซากุสะ (Asakusa Temple) ที่คนเริ่มหนาแน่นตั้งแต่ช่วงบ่าย ระหว่างทางจะเห็นผู้หญิงใส่ชุดกิโมโนเดินเคียงคู่กับเพื่อนสาวในชุดสุดเปรี้ยว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประเทศที่มีความชาตินิยมสูงอย่างญี่ปุ่นที่มักจะใส่ชุดประจำชาติในวันสำคัญเดินตามท้องถนน
ต่อด้วยศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu Shrine) ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวโตเกียว จะหนาแน่นเป็นพิเศษในช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืนของวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ชนิดที่ต้องเบียดเสียดยัดเยียดกันเดินเข้าไปครึ่งค่อนคืนกว่าจะถึงตัวศาลเจ้า แต่เราเลือกจะเดินทางไปที่นั่นในช่วงเย็นแทน ในช่วงนี้มีนักบวชมาจะทำพิธีเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้มาเยือน
โดยการสักการะเทพเจ้าในศาลเจ้าจะต้องเริ่มต้นด้วยการล้างมือและบ้วนปากที่เชื่อว่าเป็นการชำระสิ่งสกปรกและความอัปมงคลออกจากตัว จากนั้นโยนเหรียญบริจาค นิยมใช้เหรียญ 5 เยน (เหรียญที่มีรูตรงกลาง) ซึ่งคำว่าห้าในภาษาญี่ปุ่นเป็นคำพ้องเสียงของคำว่า ‘โกเอ็น’ แปลว่า ‘ขอให้โชคดีอยู่กับเรา’ แล้วโค้งคำนับ 2 ครั้ง ตบมือ 2 ครั้ง อธิษฐานแล้วคำนับอีก 1 ครั้ง ในขณะที่การไหว้พระในวัดจะแค่พนมมือและอธิษฐานขอพรเท่านั้น นอกจากนี้วัดจะแตกต่างกับศาลเจ้าตรงที่ไม่มีโทริอิ หรือประตูที่มีทำจากไม้ซุงขนาดใหญ่วางพาดด้านบน
ปกติแล้วชาวญี่ปุ่นมักไปไหว้พระสวดมนต์ข้ามปีในวันขึ้นปีใหม่ ทำให้มีการออกร้านต้อนรับนักแสวงบุญตามวัดและศาลเจ้าต่างๆ เราเลือกลองประสบการณ์งานศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ยะซุกุนิ (Yasukuni Shrine) ศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในคืนส่งท้ายปีเก่าแบบนี้มีร้านอาหารเรียงรายตลอดทางเดิน ให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินทางย้อนเวลากลับไปญี่ปุ่นในยุคโบราณ ซึ่งบรรยากาศพิเศษแบบนี้ราคาของอาหารจึงพิเศษตามขึ้นไปด้วย
โรงแรมโตเกียวส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีบริการออนเซน แต่ถ้ายังอยากมีประสบการณ์แช่น้ำอุ่นก็สามารถใช้บริการห้องน้ำสาธารณะก็ได้ หรือจะลองเลือกเข้าพักที่ Dormy Inn Hotel ที่มีจุดเด่น ตรงที่แทบจะทุกสาขามีบริการออนเซนให้กับแขกที่มาพัก นอกจากนี้แต่ละสาขายังมีหลายระดับราคาให้เลือก อย่างในตระกูล Dormy Inn Premium ซึ่งอยู่ในย่านฮอตฮิตราคาก็จะสูงหน่อย แต่ก็มีอาหารเช้าให้เลือกหลากหลายเมนู อย่าง Dormy Inn Premium ที่ซัปโปโร ก็เสิร์ฟอาหารเช้าเป็นของดีของที่นั่น อย่างหอยเม่น, หอยโฮดาเตะเลยทีเดียว ส่วนช่วงค่ำยังมีราเมงบริการแขกที่เข้าพัก นั่นหมายความว่าคุณอาจประหยัดเงินค่าอาหารเย็นไปได้ด้วย
แต่ต่อให้จะเดินทางอย่างประหยัดอย่างไร การกินของอร่อยก็คือสิ่งที่พลาดไม่ได้ถ้าคุณมาเที่ยวญี่ปุ่น และอะไรจะดีไปกว่าการลองไปชิมอาหารทะเลสดๆ ที่ตลาดปลาสึกิจิ (Tsukiji Fish Market ) ตลาดขายอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลายคนอาจบอกว่าการไปที่ตลาดแห่งนี้ต้องไปช่วงเช้า ซึ่งไม่จำเป็นเลยหากคุณไม่ได้อยากไปดูการประมูลปลา เพราะร้านขายอาหารทะเลสดๆ ก็เปิดขายอยู่แทบทั้งวัน ในช่วงปีใหม่แบบนี้เราจะเห็นคนญี่ปุ่นคลาคล่ำที่ในตลาดเพื่อซื้อปลาสดๆ ไปทำอาหารฉลองในครอบครัว ซึ่งคุณอาจจะซื้อปลามากูโร่เนื้อดีมีมันแทรกในราคาถูกกว่าร้านทั่วไปเกือบครึ่งหนึ่ง
โตเกียวถือว่าเป็นเมืองหลวงที่มีกลุ่มวัฒนธรรมย่อยมากมายหลายกลุ่ม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบมังงะ (การ์ตูนญี่ปุ่น) หรืออย่างน้อยที่สุดก็อยากถ่ายรูปกับกลุ่มสาวหนุ่มแต่งคอสเพลย์ ขอแนะนำให้ลองไปในย่าน อะกิฮะบะระ (Akihabara) แหล่งรวมตัวของคนชอบการ์ตูน 2 ข้างทางยังเป็นศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเกมของโตเกียว อย่าลืมแวะที่ร้านดองกิ (Donki) ร้านขายของครอบจักรวาล ตั้งแต่สบู่ เครื่องสำอาง เสื้อผ้าแนวคอสเพลย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ละลานตาทุกชั้นจนอาจทำให้คุณหลงทางเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากพลาดสาขาอะกิฮะบะระ ก็สามารถไปช็อปปิ้งได้ที่สาขาอื่นที่มีกระจายตัวอยู่ทั่วโตเกียว
สำหรับนักช็อป ย่านไดคังยามะ (Daikan-Yama) ยังเป็นย่านสุดฮิปของชาวโตเกียว ที่นี่อาจจะไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่โต แต่ร้านรวงเล็ก ๆที่เหมือนดัดแปลงบ้านพักอาศัยก็เก๋ไก๋ไม่ใช่เล่น รวมไปถึงไลฟ์สไตล์มอลล์เล็กๆ ให้ได้ลองนั่งจิบชากาแฟฆ่าเวลา แต่ที่อยากแนะนำว่าไม่ควรพลาดคือร้าน Tsutaya สาขาไดกันยามะ ที่สร้างขึ้นในคอนเซ็ปต์ A Library in the Woods อาคาร 3 หลังสร้างเชื่อมต่อกัน มีร้านขายนิตยสารที่ชั้นล่างพาดทะลุอาคารยาว 55 เมตรรวบรวมนิตยสารหัวดังจากทั่วทุกมุมโลก และยังมีคอลเล็กชั่นหนังสือหายากให้อ่านกัน นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟ และศูนย์ขาย DVD และเพลงขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นอุทยานแห่งแรงบันดาลใจที่คุณสามารถใช้เวลาที่นี่ได้ทั้งวัน
ส่วนใครที่อยากได้สินค้าแบรนด์เนมที่มีเฉพาะในญี่ปุ่น อย่าง Lanvin en bleu ก็สามารถไปหาซื้อได้ที่ย่าน โอโมเตะซันโด (Omotesando) ใกล้กับฮาราจุกุ (Harajuku) และอาจจะเดินไปชมตึก Prada ตอนพระอาทิตย์ตกดินก็ถือว่าไม่เลว สำหรับนักช็อปที่อยากได้ของแบรนด์เนมที่ไม่สนใจว่าต้องใหม่เอี่ยมต้องไปเดินเล่นที่ Ragtag ที่มีของแบรนด์ดัง อย่าง Alexander McQueen, Dior Homme ฯลฯ ที่มีอยู่หลายสาขา
และถ้ากำลังมองหาสถานที่ใหม่ๆ ในโตเกียวต้องลองแวะไปที่ห้างชิบูย่าฮิคาริ (Shibuya Hikarie) ในย่านชิบูย่า ซึ่งน่าสนใจตรงที่ด้านบนเป็น Gallery ศิลปะที่จัดร่วมสมัยของญี่ปุ่น อ้อ! ที่นี่มีร้านอาหาร d47 Shokudo ที่นำของดีทั่วประเทศญี่ปุ่นมาปรุงเป็นอาหารที่หารับประทานได้ในร้านเดียว ใครเคยติดใจรายการทำอาหารญี่ปุ่นต้องแวะไปที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
♥ Website : http://www.okmagazine-thai.com/
♥ Instagram : https://www.instagram.com/okmagazinethailand/
♥ Facebook : https://www.facebook.com/okmagthailand
♥ Twitter : https://twitter.com/okthailand
Comments
comments