
หลังห่างหายจากวงการเพลงไปนาน 1 ปีครึ่ง ล่าสุดนักร้องเสียงบาดลึก แซม สมิธ กลับมาสร้างสีสันให้วงการเพลงทั่วโลกอีกครั้ง กับสตูดิโออัลบั้มที่ 2 The Thrill of It All ซึ่งปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา กับรูปร่างและลุคที่ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว สิ่งหนึ่งที่เรายังคงไว้ใจนักร้องวัย 25 ปีคนนี้ได้เสมอคือเสียงร้องคุณภาพ โน้ตเป๊ะ ทั้งยามร้องเพลงในสตูดิโอและร้องไลฟ์ เสียงของเขามาพร้อมอารมณ์อันท่วมท้นที่พร้อมจะขยี้ใจนักฟังให้เศร้ายิ่งขึ้นไปอีก กลับมาครั้งนี้ แซมดูเติบโตและมีมุมมองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มีเรื่องน่าสนใจจากงานเพลงอัลบั้มใหม่และมุมมองอะไรของเขาที่เปลี่ยนไปบ้าง OK! รวบรวมมาให้แฟนเพลงของหนุ่มหัวใจบัลลาดโซลผู้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าและเซ็นซิทีฟได้อัพเดตกัน
แซม สมิธ กับงานเพลงเคล้าความเศร้า ความรักครั้งใหม่
และเหตุผลแท้จริงที่อยากรีดน้ำหนัก
DOOM AND GLOOM
แฟนเพลงทั่วโลกส่วนใหญ่รู้จักแซม สมิธ จากงานเพลงอัลบั้มแรก In the Lonely Hour ในปี 2014 เพลงส่วนใหญ่ล้วนบ่งบอกถึงความเหงา ความเศร้า ความไม่สมหวังในความรัก และอารมณ์อกหัก ทั้ง “Stay with Me”, “I’m Not the Only One”, “Like I Can”, “Lay Me Down” ฯลฯ สำหรับอัลบั้มล่าสุดนี้ The Thrill of It All ธีมของเนื้อเพลงส่วนใหญ่ก็ยังคงมีกลิ่นอายความเศร้าและความเหงาคล้ายเดิม แต่เสียงร้องนี่สุดยอด เพราะเขาสามารถเปลี่ยนจากเสียงโทนต่ำไล่ไปยังเสียงสูงปรี๊ดได้แบบสมูธมาก ทั้งในซิงเกิลแรก “Too Good at Goodbyes”, “Burning”, “Pray” แต่ก็มีฟีลของเมมฟิสโซลมาเพิ่มสีสันให้เสียงเพลงใน “One Last Song” ด้วย นักร้องหน้าหวานเปิดใจกับนิตยสารเพลงชื่อดังอย่าง Billboard ว่า “ผมไม่เคยโชคดีเรื่องความรักเลย เป็นเรื่องจริงนะ ผมรู้สึกว่าความรักเป็นเรื่องยากทีเดียว มุมมองนี้สะท้อนออกมาให้เห็นเยอะมากในเพลงของผม” แซมบอกว่าเพลงที่เขาภาคภูมิใจที่สุดและเป็นส่วนตัวที่สุดในอัลบั้มนี้คือเพลง “Burning”
แต่ข่าวดีล่าสุดที่ช่างย้อนแย้งกับเนื้อหาและงานเพลงของแซมคือตอนนี้หัวใจของแซมกำลังเป็นสีชมพู เพราะเขาอินเลิฟอยู่กับแบรนดอน ฟลินน์ นักแสดงหนุ่มจากซีรีส์ดัง 13 Reasons Why โดยเริ่มมีข่าวลือมาตั้งแต่ปี 2017 จนกระทั่งแบรนดอนคอนเฟิร์มข่าวดีผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนธันวาคม แซมบอกว่าแบรนดอนสอนให้เขารักตัวเองมากขึ้น “ตอนนี้ผมมีคนที่คบอยู่ด้วยและนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าผมสมควรได้รับความสุขครับ”
แซมกล่าวถึงงานเพลงต่อว่า “อัลบั้ม In the Lonely Hour มันเหมือนคุณจิบจินและโทนิคกับเพื่อน คร่ำครวญเกี่ยวกับเรื่องหนุ่มๆ ในขณะที่ The Thrill of It All ให้อารมณ์เหมือนคุณกำลังนั่งจิบวิสกี้อยู่คนเดียวในห้องมืดๆ ยามค่ำคืน คิดถึงเรื่องชีวิตอยู่ มันอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว ไม่ใช่อัลบั้มที่ให้ฟีลของความสุขเท่าไร” แม้เพลงส่วนใหญ่ของเขาจะดูหม่นหมองและสิ้นหวัง แต่แซมบอกว่า “ที่จริงแล้วผมเป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่งนะ! ส่วนใหญ่ผมก็แฮปปี้ดี เวลาอยู่กับตัวเองและครอบครัวผมก็มีความสุขล่ะ แต่เวลาเปลี่ยนโหมดไปอยู่ในสตูดิโอเมื่อไร ผมจะปลดปล่อยความเศร้าของตัวเองออกมา ผมรู้สึกว่าการเขียนเพลงเศร้าง่ายกว่าเพลงที่มีความสุขเยอะเลย”
แต่ใช่ว่าอัลบั้มใหม่นี้จะไม่มีอะไรแปลกใหม่ “การมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองโมซูลในอิรัก 5 วันเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกอายตัวเองมากที่มีความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้และชีวิตของผู้คนน้อยเหลือเกิน ครั้งหนึ่งนิน่า ซีโมน เคยกล่าวไว้ว่าการพูดถึงช่วงเวลาที่คุณใช้ชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญ ผมยังไม่เคยได้พูดถึงอะไรอย่างนั้นเลย ผมเคยแต่งเพลงรักมามากมาย เลยอยากเขียนเพลงเกี่ยวกับการที่ตัวเองเริ่มมีมุมมองเปิดกว้างขึ้น อยากพูดถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง ซึ่งก็ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงามตลอดเวลา รวมทั้งเพลงที่พูดถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่เพื่อนผมกำลังเผชิญอยู่”
OUTSTANDING WEIGHT LOSS
อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้หลายคนเซอร์ไพรส์กับการกลับมาครั้งล่าสุดของแซมคือรูปร่างที่ดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด จากแต่ก่อนที่ดูเป็นนักร้องเจ้าเนื้อ ตอนนี้เขาดูผอมเพรียวหน้าตอบ พร้อมลุคที่ดูเซอร์เบาๆ และสไตล์ที่เปลี่ยนจากลุคที่ดูทางการหน่อย มาเป็นลุควินเทจที่ดูจี๊ดจ๊าดยิ่งขึ้น แซมเผยว่าหลังจบทัวร์เมื่อปี 2015 เขาลดน้ำหนักได้เกือบ 20 กิโลกรัม! ด้วยวิธีลดน้ำหนักที่เรียกว่า ‘Intermittent Fasting’ (การอดอาหารเป็นช่วงๆ) โดยหลังอาหารมื้อหนึ่งๆ เขาต้องรออีก 5 ชั่วโมงกว่าจะกินอะไรได้อีกครั้ง และเลิกกินขนมปังไปเลย แซมมีเทรนเนอร์ส่วนตัวและนักโภชนาการคอยให้คำแนะนำ เขาออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เน้นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและยกเวท สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้เจ้าตัวอยากลุกขึ้นมาปฏิวัติรูปร่างใหม่ ก็เพราะเขาเห็นรูปปาปารัซซี่ตัวเองเปลือยอกที่ชายหาดแห่งหนึ่งในนิตยสารแท็บลอยด์แล้วรับไม่ได้ “ผมดูอ้วน มันแย่มาก” เขาไม่อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นอีก อีกอย่างก็ห่วงสุขภาพด้วย “ผมอยากมีสุขภาพที่ดี อยากใช้ชีวิตให้ได้นานที่สุด อยากมีลูก อยากเปิดร้านดอกไม้ ถ้าระหว่างนั้นมีหนุ่มๆ เข้ามาในชีวิตผม ผมก็แฮปปี้นะ แต่ถ้าไม่มี ผมก็อยู่กับดอกไม้ได้”
A PROUD GAY MAN
ตอนเด็กๆ แซมเติบโตในเมืองเล็กย่านชนบทที่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อยกว่า 700 คนในเคมบริดจ์เชอร์ เขาเป็นลูกคนโตและมีน้องสาวอีก 2 คน แม่เป็นนักการธนาคาร ส่วนพ่อรับหน้าที่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แซมเป็นเด็กผู้ชายเกย์เพียงคนเดียวในโรงเรียน เป็นเกย์คนเดียวในหมู่บ้าน แม่รู้ว่าแซมเป็นเกย์ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ พออายุ 10 ขวบเขาก็ประกาศตัวว่าเป็นเกย์ นักร้องดังบอกว่าสมัยเด็กๆ เขาชอบแต่งหน้าเต็มไปโรงเรียน และติดขนตาปลอมด้วย เพื่อนบางคนก็ชอบล้อเลียนเขาเรื่องที่เป็นเกย์ แต่แซมก็ภูมิใจที่เป็นเกย์ “ผมจำได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งถามว่า ‘นายเป็นเกย์ใช่ไหม’ ผมตอบไปว่า ‘ใช่ ฉันเป็นเกย์!’ ” แซมบอกว่าตอนนั้นเขาไม่แคร์หรอกว่าใครจะล้อว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า แต่ที่เคืองคือการล้อเรื่องน้ำหนักตัวมากกว่า เมื่อกลายมาเป็นนักร้อง แซมไม่เขินอายที่จะประกาศตัวให้โลกรู้ว่าเขาเป็นเกย์ โดยแกรนด์โอเพนนิงในปี 2014 ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ปล่อยอัลบั้มออกมา โดยไม่ปล่อยให้ใครกังขาเรื่องที่ว่าเขาเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์นาน!
FAMILY BOND
แซมเองก็เคยมีโมเมนต์เฟดตัวจากครอบครัวอยู่บ้าง “ช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ ถ้าพ่อหรือแม่มาเยี่ยมผมที่ทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งพ่อกับแม่แยกทางกันตอนผมอายุ 18 ปี เชื่อไหมทั้งคู่ต้องรอผมอยู่หลังเวทีเหมือนกับคนอื่นๆ แถมผมยังไม่ค่อยสนใจรับสายหรือโทรกลับเวลาที่พ่อแม่โทรหา ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าไม่มีเวลา การไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่และเพื่อนๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองสูญเสียหน้าที่การทำงานในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไป” ช่วงหลังผ่าตัดเพราะมีอาการตกเลือดบริเวณเส้นเสียงในปี 2015 หมอห้ามแซมพูด 3 สัปดาห์ “ตอนนั้นผมต้องปิดปากเงียบเลย ตั้ง 3 สัปดาห์แน่ะ! แต่ปรากฏว่านั่นเป็นเรื่องดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม เพราะผมได้กลับมาใช้เวลากับครอบครัวอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง อีกทั้งการที่ผมพูดไม่ได้ยังทำให้ผมรู้จักฟังมากขึ้น รวมทั้งหยุดมองเห็นแต่เรื่องของตัวเองไปพักใหญ่เลยล่ะ”
HOW HE COPES WITH FAME
แม้ทุกวันนี้แซมจะขึ้นแท่นป๊อปสตาร์มหาชน ที่มีพร้อมทั้งชื่อเสียง เงินทอง และรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย ไม่ว่าจะ 4 รางวัลจากเวที Grammy Awards, 3 รางวัลจาก Billboard Music Awards และรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเพลง “Writing’s on the Wall” จากหนังเจมส์ บอนด์ Spectre ในปี 2016 แต่เขายืนยันว่าอยากใช้ชีวิตปกติธรรมดาเหมือนเดิม ทุกวันนี้แซมยังคงใช้บริการรถไฟใต้ดินในลอนดอนและนิวยอร์ก เวลาไปเที่ยวคลับก็ไปกับเพื่อนๆ ไม่มีบอดี้การ์ดส่วนตัว “ผมเชื่อว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคุณทำตัวอย่างไร ถ้าไม่ทำตัวว่าเป็นคนดัง คุณก็จะไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดัง และไม่เรียกร้องความสนใจจากใคร ทุกวันนี้เวลาไปเที่ยวคลับเกย์ ทุกอย่างก็ราบรื่นดีนะ เพราะผมไปที่นั่นเพื่อไปสนุกเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นล่ะ แต่ถ้าดื่มจนเมาปลิ้นแล้วมีคนเดินเข้ามาหา ผมก็มักสุภาพกับทุกๆ คนเสมอ”
SAM’S SECRETS
- ถ้าไม่ได้เป็นนักร้อง เขาคงจะเป็นนักจัดดอกไม้
- “Nirvana” คือเพลงของแซมเองที่เขาชอบมากที่สุด
- ถ้าสามารถเป็นใครก็ได้ ไม่ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วหรือมีชีวิตอยู่ เขาอยากเป็นจูดี้ การ์แลนด์
- เขาไม่ชอบร้องคาราโอเกะ
- เขาอยากบอกกับตัวเองในวัย 16 ปีว่าให้อ่านหนังสือมากขึ้น และอย่ากินโดนัทเยอะ
- เขาไม่ชอบกินพิซซ่า
- เพลงโปรดตลอดกาลของเขาคือเพลง “A Case of You” โดยโจนี่ มิตเชลล์
- นิสัยที่แย่ที่สุดของเขาคือการชอบกัดเล็บและบางครั้งก็สูบบุหรี่
- สถานที่ท่องเที่ยวสุดโปรดในวันพักผ่อนคืออิตาลี
- เขาอ่านคอมเมนต์ในสื่อโซเชียลมีเดียของตัวเองเป็นประจำ
[Photo Credit: Instagram/ samsmithworld, flynnagin11]
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
♥ Website : http://www.okmagazine-thai.com/
♥ Instagram : https://www.instagram.com/okmagazinethailand/
♥ Facebook : https://www.facebook.com/okmagthailand
♥ Twitter : https://twitter.com/okthailand
Comments
comments