พูดถึงคลินิกความงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย หลายคนคงนึกถึงคลินิกชื่อดังอย่าง SLC หรือ Siam Laser Clinic ที่คอยอัพเดตเทรนด์และนวัตกรรมความงามที่ทันสมัยอยู่เสมอ กับ 16 ปีแห่งความสำเร็จ โดยสองพี่น้องแห่ง SLC Group คุณหมอดา แพทย์หญิง พิมพิดา วรัญญูรัตนะ ประธานกรรมการบริษัท SLC Group และคุณนิ-นิสา ทั่งทอง ผู้บริหาร Chief Marketing Officer สองสาวผู้อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในการบริหารธุรกิจความงาม
ด้วยความจริงใจพร้อมแพสชั่นอันเปี่ยมล้น ปลุกปั้นและบุกเบิกธุรกิจคลินิกความงาม Siam Laser Clinic มาถึง 16 สาขา โดดเด่นในเรื่องของนวัตกรรม โปรโมชั่น และคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลเสริมความงาม โรงงาน และสถานเสริมความงามอีกหลายแห่ง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ความงามที่ตอบโจทย์และติดตลาด OK! ได้มีโอกาสพูดคุย กับทั้งสองคนถึงประสบการณ์และความคิด กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของพวกเธอเท่านั้น เพราะทั้งคู่ยังพร้อมต่อยอดและพัฒนาสู่ธุรกิจอีกหลายรูปแบบ
16 ปี แห่งความสำเร็จ กับอาณาจักรความงาม ของสองพี่น้องแห่ง SLC GROUPคุณหมอดา-พญ.พิมพิดา วรัญญูรัตนะ และ คุณนิ-นิสา ทั่งทอง
จุดเริ่มต้นของ Siam Laser Clinic ตั้งแต่ก้าวแรก จนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้
หมอดา: ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว นึกถึงภาพความวุ่นวายได้เลยค่ะ หมอกับสามีอยากทำคลินิกที่เฉพาะเจาะจงเรื่องเลเซอร์ จึงเริ่มจากหาสถานที่ก่อน จนมาได้พื้นที่ตรงสยามสแควร์ โดยการเปิดสาขาแรก เราก็ยังไม่ได้นึกถึงการประชาสัมพันธ์อะไรมากมาย มีแต่ต้องคิดว่าจะทำคลินิกให้เสร็จภายใน 1 เดือน ซึง่ ตอนเริ่มต้นนั้น เราก็มีเครื่องมือเลเซอร์ต่างๆ เตรียมไว้ และคลินิกก็อยู่ใจกลางสยาม เลยใช้ชื่อคลินิกว่าสยามเลเซอร์คลินิก ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ต้องยอมรับว่าคู่แข่งยังไม่ได้ดุเดือดเหมือนตอนนี้ ถือว่าเรามาในจังหวะที่ค่อนข้างดี ด้วยสถานที่ที่อยู่กลางเมือง และต้องยอมรับว่าการประชาสัมพันธ์สมัยก่อนที่เป็นหลักก็คือนิตยสาร เราก็ลงนิตยสารตั้งแต่เปิดเลย ซึ่งหมอมีความมั่นใจ ว่าเวลาจะทำอะไร ต้องทำให้คนรู้ เพราะฉะนั้นการประชาสัมพันธ์เราจะโดดเด่น เคียงคู่กับประสิทธิภาพของสิ่งที่เราทำ แล้วหมอกับสามีก็ทำกันเอง ตรวจกันเอง ควบคุมคุณภาพกันได้ คลุกคลีกับลูกค้าโดยตรง ก็เลยเห็นในเรื่องความต้องการทุกอย่างได้แม่นยำมาก และด้วยความใจกล้าของเราที่พอมีเงินลงทุน ก็รีบซื้อเครื่องดีๆ เข้ามา กลายเป็นภาพที่คนจำว่า SLC เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ในด้านความงามจริงๆ แล้วพอดำเนินกิจการมาถึงจุดหนึ่ง ก็มาเปิดสาขาที่ 2 ตรงทองหล่อ ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ ที่เป็นสแตนด์อโลนของเราเองเลย จนในที่สุดก็ได้ขยายเข้าไปในห้าง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดสตาร์ทของการทำธุรกิจนี้จริงๆ ค่ะ
คุณนิ: นิจำได้เลยค่ะว่า เมื่อก่อนกระแสเว็บไซต์ค่อนข้างแรงจะมีเว็บบอร์ดที่หลายคนจะมาคุยกันเรื่องสวยๆ งามๆ นิก็เริ่มทำการตลาดออนไลน์ เน้นกลุ่มคนที่สนใจเรื่องความสวยงามตามเว็บบอร์ดดังๆ มีการทำโปรโมชั่นที่แรงมากๆ ในสมัยนั้น ทำให้คนเริ่มสนใจและรู้จักสยามเลเซอร์ พูดถึงในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเว็บบอร์ดความงาม รวมถึงมาใช้บริการแล้วกลับไปรีวิวก็เยอะเลยค่ะ เราจึงคอยเล่นกับ กระแสและโปรโมชั่นในโลกออนไลน์มาเรื่อยๆ เลยทำให้ ทุกวันนี้เราเข้าถึงได้ทุกคนค่ะ
Siam Laser Clinic อัพเดตเทรนด์และเทคโนโลยีความงามที่ดีและรวดเร็วอยู่เสมอ
หมอดา: จุดเด่นของที่นี่คือเทคโนโลยีความงามและนวัตกรรมที่อัพเดตก่อนใครอยู่เสมอ เรียกว่าถ้ามีอะไรดีๆ ก็จะนำเข้ามาเป็นเจ้าแรกๆ และค่อนข้างมีความมั่นใจในการเลือกเครื่องมือโดยเวลาเลือกเครื่องมือใหม่ๆ หมอกับสามีก็จะดูที่ผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไร โดยไม่สนใจว่าเครื่องจะแพงแค่ไหน เพราะสุดท้ายถ้าลูกค้ารับรู้ได้ว่าดี ก็จะต้องอยากกลับมาที่คลินิกของเราอีกครั้ง ดังนั้นจุดแข็งอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณภาพ และแน่นอนว่าถ้าเครื่องมืออันนี้ดีที่สุด เราก็จะต้องมีอยู่ในทุกสาขา ไม่ว่าจะไปสาขาไหน ก็ต้องได้รับบริการที่เหมือนกันโดยคติของเราคือต้องนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเสมอ นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดอีกหนึ่งอย่าง คือต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า เพราะว่าแบรนด์ไม่ได้บอกว่าแบรนด์ดีอย่างไร แต่แบรนด์จะเป็นตัวนำผ่านสิ่งนั้นให้คุณ แล้วคุณสัมผัสเองได้ว่า แบรนด์ SLC เป็นอย่างไร เหมือนแบรนด์คือประสบการณ์ ไม่ใช่แบรนด์คือสิ่งที่เราพูด ฉะนั้นคุณต้องสัมผัสเองว่า วัฒนธรรมองค์กรของ SLC และเครื่องมือที่เราส่งผ่านไปให้เป็นอย่างไร ทำให้ที่นี่แตกต่างจากที่อื่น ซึ่งเราพยายามด้วยความจริงใจและสื่อออกไป ทำให้ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา เราได้รับการตอบรับที่ดี หมอก็คิดว่าทุกคนรับรู้ในสิ่งที่เรำทำอยู่ค่ะ
คุณนิ: อย่ำงที่พี่ดาบอกไป จุดเด่นของเราคือนวัตกรรมและความจริงใจ รวมถึงคุณภาพและผลลัพธ์ เพรำะถ้ามีทั้งหมดนี้ สุดท้ายแล้ว ลูกค้าก็ไปปากต่อปากกันเอง อย่างช่วงเปิดคลินิกแรกๆ ที่นิไปเขียนในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ดังเว็บไซต์หนึ่ง แล้วลูกค้าทำเสร็จปุ๊บ เขาก็กลับมารีวิวความประทับใจให้เราเองในเว็บบอร์ดตอนนั้น ก็เลยกลายเป็นกระแสดังขึ้นมา กลายเป็น “Organic Word of Mouth” ดีๆ นี่เอง แล้วถ้ายิ่งเจอหมอธี สามีของหมอดา เขาก็จะเป็นคุณหมอที่ต้องทำแต่ของดีตลอด ต้องให้คนไข้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องใช้เครื่องมือดีๆ เขาจะมีจรรยาบรรณทางการแพทย์สูงมากๆ เลยค่ะ
ขยายอาณาจักรแห่งความงาม เพิ่มธุรกิจโรงพยาบาลเสริมความงาม และบิวตี้เซอร์วิส
หมอดา: ทุกอย่างของเราค่อยๆ ขยายไปด้วยสถานการณ์การเติบโต เมื่อก่อนทำแต่เลเซอร์ พอถึงจุดหนึ่ง เราก็เห็นว่าบางจุดต้องเปลี่ยนทั้งโครงหน้ำ ทำแค่ผิวไม่ได้ และด้วยคีย์หลักของเราคืออยากทำให้ดีที่สุด ให้ผู้บริโภคสวยที่สุด เราก็อยากจะนำเสนออะไรที่มันสุดขึ้นไปอีก จึงกลายมาเป็นโปรเจ็คต์ Make It Over ก็เลยเริ่มมีในเรื่องของแผนกศัลยกรรม จนท้ายที่สุด พออยู่ในคลินิกของเรา ก็เล็งเห็นว่าพื้นที่ไม่พอเพราะบางทีคนไข้ต้องแอดมิด ต้องผ่าตัดแบบจริงจัง กลายเป็นว่าในที่สุดเราก็มีโรงพยาบาล SLC Hospital เป็นสถานพยาบาลที่ได้รับความไว้วางใจและมีมาตรฐานในระดับหนึ่ง และในส่วนของบิวตี้เซอร์วิสอย่าง Claire อันนี้คือเป็นโอกาสล้วนๆ เลยค่ะ เพราะด้วยความที่เรารักสวยรักงาม เราเลยรู้ว่าตาและคิ้วมีความสำคัญมากขนาดไหน หมอเป็นคนที่ใส่ขนตาปลอมมาเป็นสิบปี ใส่ทุกวัน ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรเลย จนกระทั่งได้ไปเห็นนวัตกรรมการต่อขนตา ซึ่งบังเอิญไปเจอที่ต่างประเทศ เราก็เลยคิดว่าเป็นอะไรที่ช่วยผู้หญิงได้เยอะ ก็เกิดแพสชั่นขึ้นมา เพราะหมอมองว่าแพสชั่นสำคัญมากในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพราะพอมีแพสชั่นแล้ว ทุกอย่างจะไม่ยาก เพราะเราอยากทำให้ได้ ก็เลยเกิดเป็น Claire Beauty Lounge – Eyelashes & Eyebrows Institute ที่คอยบริการในเรื่องของการต่อขนตา ทำคิ้ว สาขาแรกที่เซ็นทรัลชิดลม แต่ถ้าเราคิดและทำคนเดียว คงไม่ได้แน่นอน เพราะในเรื่องของเซอร์วิสนั้น มีความละเอียดอ่อนมาก สุดท้ายเลยบอกน้องสาวว่า “มันเป็นโอกาสนะ แต่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้านิไม่ทำ” หลังจากนั้นก็เป็นนิที่ทำเองทั้งหมด ตั้งแต่ไปเรียนรู้ ทำาเองทุกอย่างเลยจริงๆ ทำให้ Claire เกิดกระแสการต่อขนตา การคอนโทรลคิ้วในเมืองไทยได้จริงๆ เราไม่ได้เป็นคนแรกที่ทำนะ แต่เราเป็นคนที่ทำให้กระแสการต่อขนตารู้สึกว่าเบาสบาย
คุณนิ: ต้องบอกว่าเราค่อยๆ เพิ่มธุรกิจมาทีละอย่าง ซึ่งอย่าง Claire Beauty Lounge เรามีเทคนิคดีๆ ต่อขนตาแบบเบาสบายนี้เป็นที่แรกของเมืองไทยเลยค่ะ พอนิได้ไปเรียนเทคนิคมาจากต่างประเทศ ก็เล็งเห็นแล้วว่าขนตาของเขาดี แต่จะดีได้มากกว่านี้ขึ้นไปอีก ก็เลยไปติดต่อหาโรงงานใหม่ที่สามารถทำาขนตาดีขึ้นไปได้อีก นอกจากนี้กาวที่ใช้ก็เป็นสูตรของเราเอง ให้โรงงานทำทุกอย่างเป็นยี่ห้อของเราหมดเลย แม้แต่ตัวทวิตเซอร์ ตัวคีบ เพราะเราอยากแตกต่าง อยากเป็นตัวของเราเอง โดยที่เราไม่อยากพึ่งคนอื่น ซึ่งสุดท้ายถึงแม้ว่าจะมีร้านต่อขนตาเกิดขึ้นอีกมากมาย ก็ทำาให้ของเราไม่เหมือนคนอื่น เทคนิคเราไม่เหมือนใคร ซึ่งทั้งสไตล์ รูปแบบและนวัตกรรม เราก็ไม่หยุดพัฒนาค่ะ
พัฒนาธุรกิจความงาม จนมีโรงงานเป็นของตัวเอง
หมอดา: หลังจากที่นิช่วยดูแลในด้านการตลาด และกลายมาเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ นิเข้ามาเป็นเจ้าของจริงๆ ในส่วนของ Claire Beauty Service แล้วพอเราทำาเซอร์วิสไปได้สักพัก เราก็อยากมีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง จนขยับขยายกลายเป็นว่ามีโรงงานเป็นของตัวเอง ซึ่งในพาร์ตของโรงงาน นิก็เข้ามาช่วยหมออย่างจริงจัง จากนั้นเวลามีอะไรที่ไหน เราสองคนก็พุ่งไปด้วยกันเสมอเลยค่ะ
คุณนิ: หลังจากที่เรามี Claire Beauty Service เราก็อยากต่อยอดขึ้นมาอีก จนมาลงที่สกินแคร์ กลายเป็น Clarie Skin และในที่สุดเราได้ก็เปิดโรงงานที่ชื่อว่า SLC Interlab ซึ่งในช่วงที่เปิดโรงงานแรกๆ เราก็มีห้องแล็บ มี R&D เป็นของตัวเอง เริ่มซัพพลายผลิตภัณฑ์ In-House ที่ใช้ในคลินิกก่อน ระหว่างนั้นเราก็พัฒนาสินค้าทั้งแบรนด์ Claire และ MAAI โดยที่แบรนด์ MAAI มีขายอยู่ใน Wellth เป็นแบรนด์ที่เราพัฒนาเอง ตั้งแต่แพคเกจจิ้ง หน้าตาสินค้า รูปแบบโลโก้ ทุกอย่างออริจินัลหมด ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิก Wellth และในส่วน Claire Skin เราอยากทำสินค้า ที่ราคาไม่แพง ก็เดินสำรวจตลาดทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้น นิอยู่เกาหลี พี่ดาอยู่ยุโรป จากนั้นก็ใช้เวลาอยู่เป็นปีกว่าจะพัฒนาสกินแคร์แบรนด์ Claire ขึ้นมา เราก็เอานวัตกรรมต่างๆ ที่เราเห็นในท้องตลาดมารวมกับประสบการณ์ สูตรต่างๆ ที่เรามีหรือที่เราเคยใช้กับคนไข้แล้วมันเห็นผล ก็เอามาปรับ ขายแค่ราคาหลักร้อย และเราก็มีการทดสอบผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ใช้เอง ลองเอง โดยตอนที่ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาแรกๆ ก็มีส่งไปให้บล็อกเกอร์ได้ลอง กลายเป็นว่าทุกคนชม ตั้งแต่ Claire Treatment Pad ทรีตเมนต์บำรุงผิวในรูปแบบแผ่น ไปจนถึง Claire Micro-Mousse มูสล้างหน้าเนื้อนุ่ม ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็ดี ก็กลายเป็นปากต่อปากไปเรื่อยๆ จนไปถึงบล็อกเกอร์ตัวใหญ่อย่างพี่ช่า จากเพจบันทึกของตุ๊ด ก็รีวิวให้เราว่าเขาซื้อจริงใช้จริง ดีจริง เราก็ตกใจเหมือนกัน (หัวเราะ) ด้วยความที่เราตั้งใจทำและจริงใจด้วย เห็นผลลัพธ์ที่ดี เรารู้สึกดีใจมาก
จากธุรกิจเสริมความงาม ต่อยอดมาสู่ธุรกิจเครือข่ายเน็ตเวิร์ก
หมอดา: โดยส่วนตัวแล้ว หมอเป็นคนที่อินกับความงามมากนะ และเรารู้เลยว่าเราไม่สามารถที่จะกระจายคลินิกไปได้เยอะ เนื่องจากการขยายต้องใช้การลงทุนที่สูง อีกอย่างพอเครื่องมือใช้ยาก หมอก็ต้องเก่ง ฉะนั้นเราจะอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ดังนั้นเราเลยวางแผนระยะยาวว่าทำอย่างไรที่เราจะเข้าถึงกลุ่มคนได้เยอะๆ ซึ่งความฝันของเราคืออยากทำสินค้าที่กระจายไปให้คนในวงกว้าง ซึ่งอาจไม่ใช่แค่เมืองไทย แต่ไปไกลถึงระดับโลกเลย โดยระบบที่เราเล็งเห็นและคิดว่าดีมากก็คือธุรกิจเครือข่ายแบบ MLM (Multi Level Marketing) ที่ให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจ แล้วกระจายสินค้าออกไป ซึ่งหมอศึกษามานานมากแล้วว่าถ้าเรามีนวัตกรรมดีๆ มีระบบการปันผลจ่ายต่างๆ สมเหตุสมผล และมีสินค้าที่ดีประกอบกันทุกอย่าง คิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้สินค้าสามารถกระจายเป็นวงกว้างในระดับที่เราตั้งเป้าไว้ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ก่อนในประมาณ 3 ปีนี้ได้ และรวมถึงคนไทยในอเมริกาหรือในระดับโลกได้ ซึ่งเราได้เจอกับพาร์ตเนอร์ที่สนใจอย่างนี้เหมือนกัน จนร่วมมือกันกลายเป็น “Wellth” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ “SLC Group” โดยตอนนี้เราก็เริ่มมีสมาชิกแล้ว และก็เริ่มขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
คุณนิ: เรามั่นใจว่าสินค้าที่เราพัฒนาอย่นู ั้น มีคุณภาพแน่นอน เราอยากสร้าง Ecosystem ของเราเอง ให้สมาชิกขยายฐานสมาชิกบริโภค กิน ดื่ม ใช้ ใน “Wellth” ซึ่งไม่ได้มีแค่สกินแคร์อย่างเดียว จะมีอาหารเสริมด้วย และเราก็มองว่าในอนาคตจะค่อยๆ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกมาเรื่อยๆ ให้สมาชิกได้มีการใช้ผลิตภัณฑ์อยู่ใน Ecosystem ของเรา โดยที่เขาก็ยังได้รับตัวผลตอบแทนอยู่ ซึ่งเราเป็นบริษัทที่มาใหม่ เราก็ปรับ ระบบของเราให้ใหม่อยู่เสมอ โดยสามารถทำธุรกิจออนไลน์ขายของได้ ยิงโฆษณาบนโซเชียลได้ เราเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถทำธุรกิจเป็นของตนเอง แล้วเราก็มีการคำนวณพีวีที่แตกต่างจากบริษัทอื่น รวมไปถึงการซื้อใช้รายเดือนซึ่งเรามีทั้งคนรุ่นใหม่ที่ขายสินค้าขายออนไลน์กันมาก่อน เขาก็มีความเชื่อในผลิตภัณฑ์ เชื่อใน SLC ก็เข้ามาทำธุรกิจนี้ ส่วนนักขายรุ่นเก่าๆ เขาก็จะเน้นซื้อกินซื้อใช้ เน้นขยายจำนวนสมาชิก เราก็จะมี 2 รูปแบบเลยในบริษัทเราตอนนี้ค่ะ
SLC กับการใช้ชีวิตแบบ New Normal
คุณนิ: ตั้งแต่หลังโควิดมา เหมือนเราจะทำงานกันเร็วขึ้น เพราะเราใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น zoom เข้ามาช่วยมากขึ้น ทำให้ลดเวลาเรื่องของการเดินทางได้เยอะ ช่วยให้เราได้รับฟีดแบ็กหลายๆ อย่างเร็วขึ้นมาก มีอะไรเราก็ประชุมกันได้ทันทีเลย อีกอย่างคือบริษัทอื่นเอาพนักงานออก แต่ของเราเอาพนักงานเข้า เราเพิ่มจำนวนพนักงานเข้ามาอีก ตั้งแต่หลังโควิดมา ทุกอย่างคือดิจิทัลหมดเลย คนไปเทออนไลน์กันหมด เราก็หาทัพทีมมาเสริมจุดนี้ให้เราแข็งขึ้นช่วงโควิด
หมอดา: ยอมรับเลยว่าช่วงโควิดมาใหม่ๆ ค่อนข้างนอยด์ เพราะว่ากลุ่มคนไข้เราลดลงจริง ซึ่งสิ่งที่หมอกังวลมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องการจ่ายเงินเดือนพนักงาน เพราะช่วงนั้นพอธุรกิจเราถูกปิด ถึงแม้ว่าจะช่วยน้องๆ บ้างไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ดูแลกันไป แต่สิ่งที่เรากังวลคือจำนวนคนไข้ที่ลดลงระยะยาว เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าโควิดจะอยู่กับเราอีกนาน เรากลัวกำลังซื้อหรืออะไรหลายอย่างที่คนไข้ไม่อยากจะมาทำาหน้า แต่ว่าพอหลังจากคลายล็อกดาวน์ กลับมาเปิดปกติแล้ว เราก็รับรู้ได้เลยว่าผู้บริโภคของ SLC ก็ยังต้องการทำสวย ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นใจของเขา ก็เลยคุยกับเด็กๆ ว่าเราต้องนำเสนอสิ่งดีๆ เหล่านี้ต่อไป อย่าลดคุณภาพของเราเป็นอันขาด ก็เหมือนที่เขาบอกว่าอย่าการ์ดตก ถึงแม้ว่าเราอาจจะต้องลดราคาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะใช้ของไม่ดี ตอนนี้ก็เลยค่อนข้างจะสบายใจ น้องๆ ก็โอเค คนไข้ก็กลับมาเหมือนเดิม
เคล็ดลับ แรงบันดาลใจ และคติในการทำงาน สู่ความสำเร็จในการทำธุรกิจ
หมอดา: ด้วยการที่เราอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา บ้านอยู่ตรงข้ามกัน ทำางานด้วยกัน ทำาให้การตัดสินใจต่างๆ ค่อนข้างเร็ว ประชุมเสร็จก็ไปทานข้าวด้วยกัน เขาบอกว่าเราควร “Work-Life Balance” แต่สำหรับหมอคิดว่าควรจะเป็น “Work-Life Blending” มากกว่า ยิ่งถ้าใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ จะคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลา หลายคนอาจจะบอกว่าเราไม่ควรอยู่กับคนที่ทำางานกับเราตลอดเวลา เพราะจะทำให้เราคิดเรื่องงานตลอด แต่หมอกลับมองว่าเป็นอะไรที่มีความสุข เพราะเราก็อยู่ด้วยกัน คิดเรื่องงานกันตลอดจริงๆ
คุณนิ: เวลาเราเจอกัน เราก็จะคุยกันตลอดในเรื่องต่างๆ(หัวเราะ) อะไรใหม่ๆ ก็ไม่หยุด ที่จะศึกษา มีเทรนดอ์ะไรที่เปลี่ยนไปก็หาเรียนกันตลอด ไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยหรือเรากำาลังทำงานอยู่นะ และหลักๆ อีกอย่างหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจที่ต้องมีคือจริยธรรม ไม่ว่าหมอจะลงตรวจ หาสินค้า หรือของมาใช้ในคลินิก หรือพัฒนาสินค้ามาขาย ทุกอย่างเราตั้งใจทำอย่างจริงจัง ซื่อสัตย์กับผู้บริโภค คุณภาพต้องนำมาก่อน แม้กระทั่งการตลาด เราจะเลือกใครมาเป็น Micro Influencer เราก็ต้องรู้แล้วว่าเขาเหมาะกับผลิตภัณฑ์นี้ไหม แล้วสุดท้ายลูกค้าก็จะรู้เองว่าอะไรดี ไม่ดี นอกจากนี้เราต้องไม่หยุดพัฒนาตัว ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม อย่างที่พี่ดาพูดเรื่อง “Work-Life Blending” เวลาเราไปต่างประเทศ เราก็ไปเที่ยวนะ แต่เราก็ไปเดินดูเทรนด์โลกตอนนั้นด้วยว่าเขาไปถึงไหนแล้ว พอกลับมา เราก็เอาประสบการณ์เหล่านี้ล่ะมาพัฒนา ทำให้เราเป็นลีดเดอร์ในตลาดมากกว่าที่จะเป็นผู้ตามค่ะ