รูดม่านจบลงอย่างประทับใจกับคอนเสิร์ต Cassette Festival ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24-26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยขนทัพศิลปินยุค 90 มาย้อนบทเพลงของวันวานที่เต็มไปด้วยความทรงจำสุดประทับใจ ถ่ายทอดโดยนักร้องออริจินัลที่แสนคุ้นหน้าถึง 25 คน และหนึ่งในความพิเศษคือการได้เห็นนักร้องสาวเสียงใส เจ้าของเพลง สบตา, บ้านเธอสิ, วัดรอบเอว, คนดีที่ลืมกัน ฯลฯ แอนเดรีย สวอเรซ บินตรงจากอเมริกาเพื่อมาร่วมโปรเจ็กต์สำคัญครั้งนี้โดยเฉพาะ ไม่น่าเชื่อว่าอดีตนักร้องวัยทีนคนนี้จะห่างหายจากวงการไปนานถึง 24 ปี เพราะด้วยสกิลการร้องไปด้วย เต้นไปด้วยของเธอนั้นเป๊ะจนต้องยกนิ้วให้ โดยเฉพาะท่าเตะขาสูง ท่าฉีกขาที่เป็นท่าประจำของเธอก็ยังทำได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แม้ว่าวันนี้เธอจะมีอายุย่างเข้าเลข 4 แล้วก็ตาม! การมาเมืองไทยของแอนเดรียในครั้งนี้ OK! ได้มีโอกาสอัพเดตชีวิตที่ห่างหายไปจากวงการของเธอมาฝากกัน ใครคิดถึงแอนเดรีย อยากรู้ชีวิตของเธอในวันนี้ว่าเป็นอย่างไร เธอทำอะไรอยู่ที่อเมริกา เราคิดว่าบทสัมภาษณ์ครั้งนี้คงจะช่วยทุเลาอาการคิดถึงลงได้บ้าง
รู้สึกอย่างไรกับการได้กลับมาขึ้นคอนเสิร์ตครั้งนี้ และมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
มีหลายความรู้สึกมากเลยค่ะ อย่างแรกคือตื่นเต้นมากเพราะห่างจากการขึ้นคอนเสิร์ตไปนาน ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นเวทีคือ Kita Back to The Future Concert เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาแอนเดรียไม่ได้ร้องเพลง หรือเต้นเลย แรกๆ ก็กังวลเหมือนกัน เลยเตรียมตัวหนักมาก ถามพี่อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ ว่าเตรียมตัวอย่างไร พี่อ้อมบอกว่าให้ทำ HIT (High Intensity Interval Training) ก็เลยจัดตารางออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3-4 วัน วันละ 1 ชั่วโมง แล้วก็เริ่มเรียนร้องเพลงทางอินเตอร์เน็ตกับครูอ้วน (มณีนุช เสมรสุต) ครูซิน(หัสดิน แซ่ลิ่ม) ที่ Star Maker Voice Academy เป็นการ Video Conference กัน แอนเดรียเรียนร้องเพลง อาทิตย์ละ 3-4 วันวันละ 1 ชั่วโมงเหมือนกัน รวมถึงเริ่มไปเรียนคลาสฮิปฮอป เพราะเราก็ไม่ได้เต้นมากนานแล้ว 3 คลาสแรกจำท่าเต้นไม่ได้เลย คงเพราะห่างไปนานมาก แต่หลังจากนั้นอีก 2-3 คลาสทุกอย่างก็ดีขึ้น เริ่มจำได้ แล้วเราก็คุยกับทีมเต้นที่นี่ด้วยว่าถ้าเขามีท่าเต้นแล้ว ช่วยส่งคลิปที่มีทั้งทีมเต้นและคนเต้นเป็นแอนเดรียให้ดูหน่อยเพื่อที่เราจะได้แกะท่าและฝึกก่อน พอมาถึงที่นี่จะได้พร้อมซ้อมเลย เป็นการเคาะสนิมในรอบ 24 ปีเลยค่ะ (หัวเราะ) โชคดีที่เอไทม์ โชว์บิส ติดต่อมาก่อนประมาณ 5-6 เดือน ทำให้มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งก็ใช้เวลาในการทำทุกอย่างที่ว่ามานี้ก่อนบินมาเมืองไทยประมาณ 3 เดือน แอนเดรียอยากจะทำทุกอย่างให้เต็มที่เพื่อให้สมกับที่แฟนๆ ตั้งใจมาดู วันแรกที่เข้าไปซ้อมกับทีมเต้น ครูบอกว่าดีใจมากที่พอมาถึงแล้วก็เต้นได้เลย
แฟนเพลงของคุณดูตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นคุณขึ้นเวทีอีกครั้ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แอนเดรียเซอร์ไพรส์มากค่ะ เพราะพอมีข่าวออกมาว่าเราจะมาเล่นคอนเสิร์ตก็เห็นแฟนๆ เข้ามาคอมเมนต์ในโซเชี่ยลมีเดียของเราเยอะมาก ตอนที่เป็นนักร้องแล้วมีคนมาดูคอนเสิร์ตก็รู้สึกดีที่มีคนมาดูเรานะคะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราดังหรือว่ามีคนชอบเยอะอะไร เพราะยังไม่มีโซเชี่ยลมีเดีย บางทีเราก็อยู่แต่ในโลกของเรา จนมาครั้งนี้ที่ได้อ่านคอมเมนต์ของแฟนๆ รู้สึกตื้นตันค่ะ อ่านแล้วน้ำตาคลอ เป็นเกียรติมากที่เราได้รับโอกาสนี้
คิดว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ทุกๆ คนยังคิดถึงคุณอยู่
คิดว่าที่เขาชอบเราเพราะเพลงของเราเป็นเหมือนซาวน์แทรกในชีวิตของเขา ถ้าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ช่วงเวลานั้นพวกเขาเพิ่งจะเริ่มมีความรัก เพิ่งจีบกัน มีกลุ่มเพื่อนสนิท เป็นช่วงที่กำลังค้นหาตัวเอง เพลงของเราเลยเหมือนเป็นเพลงที่โตมากับเขา อยู่ในช่วงเวลาสำคัญช่วงหนึ่งในชีวิต ก็เลยทำให้จำเราได้ด้วยค่ะ
เพลงไหนที่รู้สึกว่าพิเศษสำหรับตัวเองที่สุด
เพลงสบตาค่ะ เป็นเพลงที่คนร้องได้เยอะและเพลงนี้ครูเจี๊ยบ วรรธนา วีรยวรรธน เป็นคนแต่งให้ ที่เรียกครูเจี๊ยบเพราะว่าตอนเด็กๆ ครูเจี๊ยบเป็นครูสอนเปียโนตั้งแต่ก่อนข้าวงการ เราสนิทและรักกันมาก แล้วพอไม่ได้เรียนเปียโนก็ไม่ได้เจอกัน กระทั่งแอนเดรียมาเป็นนักร้องที่คีตา เรคคอร์ด ครูเจี๊ยบก็มาแต่งเพลงให้อีก ชีวิตเราก็ได้โคจรมาเจอกันอีกครั้ง เลยทำให้เพลงสบตาเป็นเพลงพิเศษของแอนเดรียค่ะ

ไม่ได้อยู่เมืองไทยนาน 24 ปี แต่แอนเดรียกลับใช้ภาษาไทยได้ดีมาก อยู่ที่นั่นได้มีโอกาสคุยภาษาไทยหรือฝึกภาษาไทยอย่างไรบ้าง
แอนเดรียมีเพื่อนคนไทยที่เป็นทนายเหมือนกันค่ะ แต่เราพูดภาษาไทยเก่งที่สุดในกลุ่มแล้ว (หัวเราะ) เวลาอยู่ด้วยกันก็พูดภาษาไทยด้วยกันบ้าง แต่การดูละครไทยทางยูทูบก็ช่วยได้เยอะนะคะ แอนเดรียเพิ่งจะได้ดูเรื่องบุพเพสันนิวาส กับกรงกรรม ติดมาก สนุกมากค่ะ เรื่องหลังนี่ตอนแรกตามมาดูพี่ใหม่ก่อน จากนั้นก็ติดยาว ทุกคนแสดงดีมากๆ การดูละครไทย ช่วยให้เราจำภาษาไทยและจำสำเนียงได้ดีขึ้นด้วยค่ะ
มีเรื่องประทับใจ หรือควาททรงจำอะไรในช่วงที่เป็นนักร้องอยากจะเล่าให้ฟังบ้างไหม
ในช่วงเวลานั้นทุกอย่างคือความทรงจำที่ดี การทำงานไม่เหมือนกับทำงานเลย ทุกอย่างสนุก เราสนิทกับพี่ๆ ทีมงานที่คีตา เวลาเข้าไปอัดเสียงก็เข้าไปนั่งเล่นกับพวกเขาด้วย แล้วตอนนั้นจะมีแคมปัสทัวร์ ซึ่งเป็นความประทับใจอีกแบบ เพราะจะมีน้องๆ ขึ้นมาเต้นด้วยกัน สนุกมาก นอกจากนี้ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปเล่นคอนเสิร์ตที่ขอนแก่น เป็นช่วงสงกรานต์ แล้วก็ได้นั่งรถแห่ ได้เล่นสงกรานต์ คนที่มาดูก็อินกับคอนเสิร์ต แล้วเวลาที่เราได้รับพลังจากคนดูมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ไม่มีอะไรจะทำให้เรารู้สึกดีมากเท่าการที่ได้แสดงสดและได้ฟีดแบคจากคนดูเลยทันทีอีกแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยลืมเลยคือตอนไปเล่นคอนเสิร์ตที่ลพบุรี ตอนนั้นมีลิงมาดูเราร้องเพลงเยอะกว่าคนอีก (หัวเราะ)
ในขณะทีกำลังเป็นนักร้องและไปได้ดีในเส้นทางนี้ ทำไมถึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา
คุณแม่ท่านเห็นว่าแอนเดรียทำงานเยอะ และดูเหนื่อย เพราะก็เรียนเต็มเวลาด้วย ก็เลยอยากให้ได้พักมาโฟกัสเฉพาะเรื่องเรียนอย่างเดียว อีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งมาทราบทีหลังคือ มีคนมาตามแอนเดรียถึงที่บ้านด้วย แม่ก็เลยยิ่งเป็นห่วง แล้วพอมีอะไรหลายอย่างรวมกัน แม่เลยถามว่าอยากไปเรียนต่อที่อเมริกาไหม ตอนนั้นเราก็เหนื่อยๆ ด้วยเลยรู้สึกว่า เรื่องที่แม่ถามเป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าจะสนุกดี ได้ไปใช้ชีวิตที่ประเทศอื่น มีประสบการณ์ ได้เจอผู้คนใหม่ๆ ก็เลย OK! ไปเรียนต่อที่อเมริกา
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง จะยังตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกาในเวลานั้นไหม
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ยังตัดสินใจแบบนี้นะคะ เพราะก็รู้ว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรยั่งยืน และแอนเดรียก็ไม่ได้ยึดติดว่าเราจะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป โชคดีแล้วที่มีโอกาสได้ออกเทป ได้แสดงคอนเสิร์ต ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ตรงนี้คงไม่ใช่ที่ที่เราต้องอยู่ตลอดชีวิต แอนเดรียรู้อยู่แล้วว่าการตัดสินใจแบบนี้หมายถึงเรากำลังค่อยๆ เดินออกจากตรงนี้ไป เพราะเป็นเรื่องยากที่จะไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับอเมริกา แล้วการไปใช้ชีวิตที่อเมริกาทำให้เรามีโอกาสทำอะไรหลายๆ อย่าง มีประสบการณ์ชีวิตเยอะมาก ทำให้เราเก่งและแกร่งขึ้น ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงอายุที่ได้เรียนขับรถ ได้ใบขับขี่ เป็นเรื่องที่ใหม่และสนุก นอกจากนี้ยังต้องดูแลตัวเองมากขึ้นเพราะถึงจะไปอยู่กับครอบครัวเพื่อนคุณพ่อ คุณแม่ มีพวกเขาคอยดูแล แต่เราก็ต้องเลือกเองว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างไร ชีวิตในอเมริกาจึงเป็นชีวิตที่แตกต่างจากที่อยู่เมืองไทย และมีอิสระมาก
แอนเดรียไปอเมริกาตอนที่ยังไม่จบไฮสคูลดี เลยไปเรียนต่อจนจบ จากนั้นก็ไปเรียนที่ Occidental College เป็น College ที่อดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา เคยเรียนที่นี่อยู่ 2 ปี ก่อนที่จะย้ายไปเรียนที่ Columbia University ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยได้ประสบการณ์ดีๆ หลายอย่าง แอนเดรียเลือกเรียนคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในคอร์สเรียนเราจะต้องไปเรียนแลกเปลี่ยนที่มาดริด ประเทศสเปน 1 เทอมแล้วก็ได้ไปฝึกงานที่ UN ที่นิวยอร์ก อีก 1 เทอม ที่ UN แอนเดรียมีโอกาสเห็นวิธีการทำงานขององค์กรใหญ่ๆ ได้ไปนั่งฟังความคิดของอดีตประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้ เนลสัน แมลเดลา เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ พอเรียนจบแล้วทำงานแป๊ปหนึ่งก็ไปเรียนต่อที่ Chapman University เลือกเรียนทางด้าน Juris Doctor ซึ่งเป็นปริญญาทางกฎหมายค่ะ

ทำไมถึงสนใจเรียนต่อทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกฎหมาย
มาจากอะไรหลายๆ อย่างค่ะ อย่างที่เรียนปริญญาตรีทางด้านนี้เพราะส่วนหนึ่งมาจากการที่แอนเดรียเรียนโรงเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ได้เจอผู้คนที่หลากหลาย ส่วนที่สนใจกฎหมายเพราะ ตอนเรียนอยู่เมืองไทย เราได้เห็นข่าวว่ามีคนโดนเวนคืนที่ดิน แบบที่พอเขากลับมาบ้านก็เจอข้าวของของเขาวางกองอยู่บนถนน แอนเดรียรู้สึกว่าไม่แฟร์เลย และที่เขาโดนโกงก็เพราะรู้ไม่ทันอีกฝ่าย รู้สึกว่ากฎหมายไม่ได้ปกป้องเขาก็เลยสนใจเรียนทางด้านนี้ เพราะถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ก็จะสามารถป้องกันตัวเองและช่วยคนอื่นได้ แล้วพอมาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยเหมือนกันว่าเราน่าจะเรียนกฎหมาย เพราะถึงแม้ว่าอนาคตจะไม่ได้เป็นทนาย ก็ยังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง แต่ทุกวันนี้แอนเดรียก็ทำอาชีพทนายค่ะ
เสน่ห์และความท้าทายของการเป็นทนายคืออะไร
การเป็นทนายถึงไม่ได้ทำให้คนมีความสุขเหมือนกับตอนที่เป็นนักร้อง แต่เราได้ช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น ทนายเป็นงานที่เครียดก็จริงแต่การได้ช่วยเหลือคนก็เป็นอะไรที่เราแฮปปี้ แอนเดรียชอบที่เราต้องคิด และเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เคสแต่ละเคสก็ไม่เหมือนกัน ก็เลยต้องคอยอัพเดทตัวเองตลอดเวลา
ถ้ามองจากภายนอกการเป็นนักร้องกับทนายไม่เหมือนกันเลย แต่ความจริงแล้วมีอะไรที่คล้ายกันบ้าง
ถ้าจะเป็นทนายที่ดีจะต้องเข้าใจคน และการที่จะเป็นนักแสดงและนักร้องที่ดีก็ต้องเข้าใจคนเหมือนกัน ต้องอ่านคนเป็นเหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่ 2 อาชีพมีความคล้ายกันค่ะ
สำหรับการเป็นทนายมีเคสไหนที่ภูมิใจและอยากจะเล่าให้ฟังบ้าง
เคสที่ภูมิใจก็คือ แอนเดรียเป็นทนายให้ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งที่ไม่สบายและถูกไล่ออกจากงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายของที่นั่น เพราะถ้ามีพนักงานไม่สบาย เจ้าของจะต้องหาทางเพื่อที่เขาจะกลับมาทำงานได้ จะมีกฎหมายป้องกันคนที่เจ็บป่วย ไม่สบายรองรับไว้ แต่พอเขาโดนไล่ออก เราก็ไปช่วยเขาซึ่งไกล่เกลี่ยได้สำเร็จก่อนที่ศาลจะตัดสิน 1 เดือน หลังจากนั้นคนในครอบครัวของทนายอีกฝ่ายก็โดนเรื่องนี้เหมือนกัน เขาก็เลยติดต่อให้เราไปช่วย แอนเดียว่านี่คือคำชมที่ดีที่สุดนั่นคือการที่ทนายของอีกฝ่ายมาจ้างเราให้ช่วยเหลือ นี่เป็นเรื่องที่ภูมิใจค่ะ
การแข่งขันของทนายที่อเมริกาเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นอาชีพที่มีการแข่งขันสูง เราก็ต้องคอยอัพเดทเรื่องกฎหมายตลอด โดยเฉพาะกฎหมายแรงงานมักจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงตลอด แต่อีกอย่างคือแอนเดรียมีบล็อกของตัวเองในเว็บไซด์ที่เขียนเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานด้วย คนเลยจะหาเราเจอใน Google เยอะ เพราะเป็นสเปเชี่ยลลิสต์ทางด้านนี้ ที่ชอบเรื่องกฎหมายแรงงานเพราะมองว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะที่อเมริกาเขาจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่การงานมาก คำถามแรกที่เจอกันเขามักจะถามว่า คุณทำงานอะไร ดังนั้นเวลาที่คนโดนไล่ออกหรือไม่มีงานทำ เขาจะเซนสิทีฟและรู้สึกแย่กับตัวเองมาก

ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยนานขนาดนี้ สิ่งที่แอนเดรียคิดถึงเกี่ยวกับเมืองไทยคือเรื่องอะไร
อาหารค่ะ (หัวเราะ) ก่อนมาเมืองไทยเขียนลิสต์ไว้เลยว่าจะต้องมากินอะไรบ้างตลอดระยะเวลากว่า 2 อาทิตย์ที่อยู่ที่นี่ เมนูคร่าวๆ คือ ขนมครก, ขนมตะโก้, ข้าวหลาม, เงาะ, ชมพู่, บะหมี่หมูแดง, เย็นตาโฟ, ก๋วยเตี๋ยวเรือ, หอยแครงกับน้ำจิ้มซีฟู้ด, ปาท่องโก๋, น้ำเต้าหู้, ข้าวเหนียว, ส้มตำ, ไก่ย่าง, น้ำตก, ข้าวผัดอเมริกัน ฯลฯ
ในลิสต์ของคุณมีข้าวผัดอเมริกันด้วยนะ
ใช่ค่ะ เพราะที่อเมริกาไม่มีข้าวผัดอเมริกันนะคะ มีแต่ในเมืองไทยเท่านั้น แล้วก็ไม่มีมักโรนีไก่ด้วย เลยเป็นอีกเมนูที่ต้องจัดให้ได้ (หัวเราะ)
ถ้าไม่ได้มาแสดงคอนเสิร์ต กลับเมืองไทยบ่อยแค่ไหน
ครั้งที่มาก่อนหน้านี้คือประมาณ 4-5 ปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นกลับมาหาแม่ แล้วก็ไม่ได้ไปไหนเท่าไร ได้เจอเพื่อน เจอญาติบ้าง แต่เที่ยวนี้ตั้งใจว่าจะไปสมุยหรือไม่ก็กระบี่ จริงๆ ที่บ้านแอนเดรียที่แคลิฟอร์เนียก็อยู่ใกล้ๆ ทะเลเหมือนกัน เป็นคนชอบทะเลค่ะ ชอบนั่งชิลล์ รู้สึกสบายใจดี
มีเพื่อนพี่น้องในวงการคนไหนที่ยังติดต่อกันอยู่บ้าง
T-Skirt (มา อัสมา กฮาร, กิ๊ฟ ธิติยา นพพงษากิจ และ จอย ดวงพร สนธิขันธ์) ค่ะ ถ้ามาเมืองไทยก็จะนัดเจอทุกคนครบหมด ส่วนพี่บุ๋ม(ตรีรัก รักการดี) ก็ได้เจอกันบ้าง ตอนแรกที่เจอพี่บุ๋มที่อเมริกาเป็นช่วงพี่เขาเพิ่งมาเริ่มต้นใช้ชีวิตที่นี่ ซึ่งแอนเดรียก็ยังเด็กอยู่ แต่เราก็ไปทักทายกันเพราะอยู่ค่ายคีตาเหมือนกัน พอโตขึ้นแล้วเหมือนกำลังจะมีคอนเสิร์ตคีตาอีกครั้ง แอนเดรียก็เลยได้มาเจอพี่เขาอีก ซึ่งกลายเป็นว่าพอถึงเวลานี้เราเข้ากันได้ดีมาก และถึงแม้คอนเสิร์ตจะไม่ได้จัดเพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 สิ้นพระชนม์ แต่เราเจอกันปีละครั้ง แอนเดรียชอบความคิดของพี่บุ๋ม คุยแล้วก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ

ได้ข่าวว่าตอนนี้แต่งงานแล้ว เล่าถึงชีวิตคู่ให้ฟังหน่อยได้ไหม
สามีแอนเดรียชื่อไมเคิล ปารีสเป็นคนอเมริกัน เราเป็นแฟนกันมา 7 ปีและแต่งงานกันมาอีก 10 ปี ตอนนี้ก็ 17 ปีแล้ว เขาเป็นคนที่ค่อนข้างชอบความเป็นส่วนตัว แอนเดรียรู้สึกว่าถ้าผู้หญิงอยากจะเก่งและพัฒนาตัวเองในทางที่ดีขึ้น ต้องมีคู่ที่ส่งเสริมกัน ซึ่งไมเคิลคือคนนั้นของแอนเดรีย เขาเชื่อมั่นในตัวแอนเดรียมากกว่าที่เราจะเชื่อมั่นในตัวเองเสียอีก เป็นเพราะเขาที่ทำให้เรามีบริษัทของตัวเอง ถ้าเขาไม่แนะนำหรือว่าเชื่อว่าเราทำได้ เราคงเป็นพนักงานบริษัทอื่นต่อไป ตอนนี้แอนเดรียมีสำนักงานกฎหมายของตัวเองชื่อ Andrea Paris Law คือแทนที่เราจะไปทำงานให้กับคนอื่น ก็รับลูกความของตัวเองได้เลย
แอนเดรียเจอไมเคิลได้ยังไง
เราเจอกันในลิฟต์ค่ะ (หัวเราะ) แอนเดรียเคยทำงานในตึกเดียวกันกับเขา และเป็นงานแรกของเราเลยหลังจากเรียนจบปริญญาตรี ตอนนั้นเขาเดินเข้าลิฟท์มากับเพื่อนหลังจากพักเที่ยงเสร็จ แล้วเพื่อนเขาถือกระเป๋าอยู่ใบหนึ่ง ด้วยความที่แอนเดรียเป็นคนชอบคุยกับคนอื่นอยู่แล้ว เลยทักไปว่าในกระเป๋าใบนั้นของคุณต้องมีรองเท้าอยู่แน่เลย ไมเคิลก็เลยบอกว่าผมพนันเงินกับคุณว่าในนั้นไม่ใช่รองเท้า แต่แอนเดรียบอกว่าไม่พนันเงิน เพื่อนเขาก็บอกว่า ทำไมไมเคิลไม่พนันเป็นเลี้ยงอาหารเย็นล่ะ แล้วพอเปิดมาก็เป็นรองเท้า เขาก็เลยให้นามบัตรเขากับแอนเดรียเพื่อที่จะโทรไปนัด แต่ก็ไม่ได้โทรค่ะ มารู้ทีหลังว่า ไมเคิลเคยบอกเพื่อนคนนี้ไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องคุยกับแอนเดรียให้ได้ พอมีโอกาสเพื่อนเขาเลยชงให้เลย (หัวเราะ) แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน เราก็เจอไมเคิลในตึกอีกก็เลยทักทายกัน เขาก็เลยพาไปกินอาหารเย็นตามที่พนันไว้
ตอนนั้นคิดไหมว่าเขาคือคนที่ใช่
ไม่เลยค่ะ เพราะว่าเราอายุยังน้อย แล้วก็รู้ตัวว่ากำลังจะไปเรียนต่อที่วอชิงตัน ไม่อยู่แคลิฟอร์เนีย ก็เลยไม่ได้คิดอะไรเท่าไร แต่พอไปอยู่ที่อื่นจริงๆ กลายเป็นว่าเราคิดถึงเขา และนั่นทำให้เรารู้สึกว่าคนนี้มีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นที่เราเคยเดท
เคล็ดลับของการใช้ชีวิตคู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของคุณคืออะไร
ไม่ทราบเลยค่ะ แอนเดรียก็ยังเคยถามเรื่องเคล็ดลับการใช้ชีวิตคู่ของคู่อื่นด้วย แต่ตัวเองคิดว่ามันเป็นการเลือกของเราเองว่าจะอยู่กับคนนี้ค่ะ เพราะชีวิตเรามันง่ายมากที่จะบอกว่า อยู่กับคนอื่นมันยากนะ อยู่กับตัวเองง่ายกว่า หรืออาจจะมีคนอื่นดีกว่า ฯลฯ แอนเดรียเลยคิดว่า เรา 2 คนต้องเลือกว่าทุกวันจะอยู่ด้วยกัน ถึงใช้ชีวิตร่วมกันมาได้จนถึงวันนี้
แล้วเรื่องไม่มีทายาทเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้หรือเปล่า
ค่ะ เป็นเรื่องที่เราคุยกัน แต่จำไม่ได้ว่าคุยกันตั้งแต่เมื่อไร เราไม่อยากมีลูกด้วยกันทั้งคู่ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย แอนเดรียเองรู้สึกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แต่พอเราใช้ชีวิตคู่ด้วยกันสักพักไมเคิลก็บอกว่า ถ้าแอนเดรียอยากมีลูกเพื่อที่จะมีความสุขก็ได้นะ ดังนั้นเรา 2 คนเลยตกลงกันว่าเมื่อไรที่อยากมีลูก เราจะอุปการะเด็กแทนเพราะมีเด็กกำพร้าอีกหลายคนที่ต้องการการดูแล เราคิดด้วยกันไว้อย่างนี้ค่ะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เครดิต
นางแบบ: แอนเดรีย สวอเรซ
เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า: DVF , Stella McCartney , Solace London , Edition @M Curated , Christian Louboutin
สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์
ผู้ช่วยสไตลิสต์: สุธาวัฒน์ ส่องแสง และ ณัฐพงค์ ดำสุวรรณ
แต่งหน้า-ทำผม: ภคณัฏฐ์ พูลสวัสดิ์
ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน
ผู้ช่วยช่างภาพ: ชลนิธิ สุขอนันตธรรม
สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
สถานที่: Hotel Muse Bangkok โทร.0-2630 4000
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่