
ในปัจจุบัน ภาวะอ่อนเพลียเหนื่อยล้า (fatigue or loss energy) เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล อาจตรวจไม่เจอสาเหตุด้วยซ้ำ หรือพบว่าผลตรวจสุขภาพประจำปีปกติดี แต่กลับมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น
ภาวะอ่อนเพลียเหนื่อยล้า แบบนี้ ถ้าเกิดในคนสูงอายุก็ยังไม่เท่าไร เพราะอาจเป็นว่าเกิดจากอายุที่มากขึ้น แต่ถ้าภาวะนี้มาเริ่มเกิดในวัยรุ่นหรือวัยทำงานช่วงอายุ 25- 45 ปี แล้วยิ่งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน จากที่เคยแข็งแรงดี ออกกำลังกายเล่นกีฬา เข้ายิมได้ทุกวัน นอนดึกได้ไม่ง่วงซึม กลายเป็นรู้สึกขาดพลังงาน เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายก็บาดเจ็บง่าย นอนไม่หลับหรือถึงนอนมากก็รู้สึกไม่เพียงพอ เริ่มมีภาวะติดชากาแฟ หรืออยากรับประทานแต่อาหารหวานๆ น้ำหนักขึ้นง่าย ภาวะแบบนี้อาจทำให้คนที่เป็นเสียศูนย์ไปเลยก็ได้เพราะไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร นั่นก็เพราะในการแพทย์แผนปัจจุบัน เรามองเพียงความผิดปกติของอวัยวะ โดยเน้นมองที่ตัวโรค ถ้าตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติหรือตรวจด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการไม่พบ ก็ถือว่าไม่ใช่โรคและไม่ผิดปกตินั่นเอง
จนแม้ปัจจุบันเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์พัฒนาก้าวหน้าจนมีความทันสมัยอย่างมาก ก็ยังมีศาสตร์ทางการแพทย์แขนงหนึ่งที่มองย้อนกลับไปเน้นที่การดูแลต้นกำเนิดของร่างกายมนุษย์โดยใช้ความรู้พื้นฐานทาง functional medicine โดยเน้นที่การรักษาสมดุลระดับเซลล์ (cell energy balance) ซึ่งในประเทศไทยแพทย์ที่เป็นที่รู้จักทางด้านนี้จะอยู่ในกลุ่มเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) เป็นหลัก
เซลล์ เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของร่างกาย ความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมในเซลล์และนอกเซลล์จะก่อให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าระดับหนึ่ง (ความต่างศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ปกติคือ -70 mV) สิ่งที่ทำให้สมดุลของสิ่งแวดล้อมภายในเซลล์และนอกเซลล์เสียไปก็มาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ทั้งอาหารการกินที่มีผลต่อความเป็นกรดด่างของร่างกาย อนุมูลอิสระและสารพิษที่ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เสื่อมสภาพ
เมื่อเซลล์เสียความสมดุลไป (cell imbalance) ก็อาจทำให้เราเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ถ้าเซลล์ของเราสามารถกู้สภาวะที่เหมาะสมกลับคืนมาได้ (reversible) เราก็อาจแค่มีอาการผิดปกติเป็นครั้งคราว ตรวจร่างกายอาจไม่พบ ตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไปที่โรงพยาบาลอาจยิ่งไม่พบ เพราะนั่นคือการตรวจความผิดปกติระดับอวัยวะ แต่ถ้าความสมดุลมีการสูญเสียอย่างถาวร (irreversible) ถึงตอนนี้ อาการและโรคทางกายคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีใดก็ตาม ภาวะอ่อนเพลียเหนื่อยล้านี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายเรื่องของการเสียสมดุลของเซลล์ และยังสามารถดูแลแก้ไขได้ในระยะแรกๆ แต่ถ้าเพิกเฉยเห็นว่าไม่สำคัญ เมื่อปล่อยนานไปก็จะนำไปสู่การเกิดโรค ซึ่งในปัจจุบันโรคที่เรากังวลอย่างมากก็คือ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเรื้อรังอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ วิทยาการทางการแพทย์แผนหลักในปัจจุบันจึงไม่เพียงพอเพราะให้การดูแลรักษาเฉพาะภายนอก ในขณะที่เราจำเป็นจะต้องเข้าไปดูแลรักษากันถึงในระดับเซลล์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งหมด โดยแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยจะเน้นไปที่ปัจจัย 5 ปัจจัยต่อไปนี้
- เนื่องจากเซลล์เกิดการสร้างสารพิษและอนุมูลอิสระจากการใช้พลังงาน เซลล์จึงต้องมีระบบกำจัดสารพิษที่ดี
- ต้องลดสารพิษ อนุมูลอิสระและเชื้อโรคที่อยู่นอกเซลล์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตราย
- เติมออกซิเจนในร่างกายให้เพียงพอกับที่จะไปเลี้ยงเซลล์
- เซลล์ต้องอุดมไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสมและให้พลังงานกับเซลล์
- เพิ่มประสิทธิภาพให้เซลล์ในการฟื้นฟูตัวเอง
ในบทความนี้จะขออธิบายกว้างๆ ถึงวิทยาการในปัจจุบันที่จะช่วยเราในด้านการกำจัดสารพิษ อนุมูลอิสระ เชื้อโรค และการเติมออกซิเจนให้ร่างกาย โดยการปรับทั้งการกำจัดสารพิษและการเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์นั้น ถ้าจะมองภาพให้กว้างขึ้นไปถึงระดับอวัยวะ นั่นก็คือการสนับสนุนกระบวนการดีทอกซ์ของลำไส้ ตับ ไต (detoxification system) และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (immune system) นั่นเอง เครื่องมือในศาสตร์การแพทย์ปัจจุบันที่จะอธิบายในครั้งนี้ ได้แก่
- Colon Hydrotherapy หลักการคือการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำบริสุทธิ์เพื่อขจัดของเสียตกค้างและสารพิษที่อยู่ในลำไส้ บางครั้งอาจมีการเติมกาแฟเพื่อกระตุ้นกระบวนการขับพิษของตับ ทั้งนี้ การเติมอะไรนั้นต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ด้วย ไม่เช่นนั้นประโยชน์ที่ควรจะได้รับอาจจะกลายเป็นโทษได้ แม้ว่าเราจะขับถ่ายปกติทุกวัน ก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการทำ colon hydrotherapy เนื่องจากทุกวันที่มีการขับถ่ายจะเป็นเพียงอุจจาระที่อยู่ในลำไส้ตรงเท่านั้นที่ออกมา แต่ของเสียที่ขังอยู่ในลำไส้ส่วนต้นจากนี้อีกเมตรกว่าจะถูกขับมาในภายหลังตามลำดับซึ่งอาจใช้เวลาอีกหลายวัน แบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ก็อาจจะย่อยสลายจนเกิดพิษได้ ดังนั้น การกระตุ้นการขับพิษด้วยวิธี colon hydrotherapy อย่างน้อยเดือนละครั้ง ก็เป็นวิธีที่ดีในการลดปริมาณสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้ วิธีการดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นการกำจัดกรดไขมันที่เป็นพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียไม่ดีให้ออกจากร่างกายได้ดีขึ้นซึ่งเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะการสะสมพิษเหล่านี้จะนำไปสู่การเกิดมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งในผู้หญิง (female cancer) เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก
- Ozone Therapy การบำบัดด้วยโอโซนนั้นเป็นที่รู้จักกันมามากกว่า 80 ปีแล้ว และนักบำบัดวิทยาก็ได้นำมาใช้งานโดยประสบผลสำเร็จมาแล้วทั่วโลก การบำบัดด้วยโอโซนเป็นการนำเลือดของคนไข้มาผสมกับโอโซน และออกซิเจนภายนอกร่างกายแล้วจึงนำกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง การบำบัดด้วยโอโซนเป็นเรื่องที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าช่วยในการเพิ่มปริมาณออกซิเจนเพื่อการหายใจของเซลล์ ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย ช่วยขจัดการเจ็บป่วยจากอาการเลือดขาดออกซิเจน โอโซนทำหน้าที่สำคัญในการขจัดสารปนเปื้อน และสามารถลดไขมันในเลือดซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่เป็นอันตรายต่อเส้นเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ โอโซนยังสามารถลดกรดยูริกลงได้อย่างมาก ช่วยการหมุนเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ลดอาการเจ็บป่วยและป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นใหม่ สามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้หลายชนิด รวมถึงไวรัสและเชื้อรา
- Endovascular Laser therapy เทคโนโลยีแสงเลเซอร์เพื่อสุขภาพและความงามระดับเซลล์ เป็นที่ทราบกันดีกว่า แสงเลเซอร์มีคุณประโยชน์มากมายต่อการดูแลรักษาผิวพรรณและความงาม ปัจจุบันเราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพเลเซอร์ที่ช่วยบำบัดเซลล์ให้อ่อนเยาว์จากภายใน ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจากประเทศเยอรมนีที่สามารถส่งพลังงานเลเซอร์โดยตรงสู่เซลล์เม็ดเลือดแดง เพื่อส่งต่อพลังเข้าซ่อมแซมบำบัดความเสื่อมระดับเซลล์ทั่วร่างกาย ขั้นตอนการรักษา จะใช้เทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติคผ่านแสงเลเซอร์เข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงโดยผ่านทางหลอดเลือด เลเซอร์ที่ให้จะมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน แต่ละความยาวคลื่นใช้เวลาประมาณ 20 นาที ควรทำต่อเนื่อง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกัน 10 ครั้งขึ้นไป เลเซอร์จะส่งต่อพลังงานให้เซลล์ได้ดี เพิ่มการไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกายถึงระดับหลอดเลือดเล็กๆ ในผิวหนัง กระตุ้นการสร้าง DNA ทำให้เซลล์อ่อนเยาว์ ลดความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ กระตุ้นการสร้าง stem cell ตามกลไกธรรมชาติ นอกจากนี้ยังกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เนื่องจากเมื่อการขับพิษสมบูรณ์แล้ว การอักเสบในเลือดจะลดลง ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในบทความถัดไป จะอธิบายในเรื่องของการเพิ่มสารอาหารให้กับเซลล์ และการกระตุ้นเซลล์ให้สามารถฟื้นฟูตัวเองได้
พญ. ณัฐณิชา การลพ
Apex Medical Center
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตาม นิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
♥ Website : http://www.okmagazine-thai.com/
♥ Instagram : https://www.instagram.com/okmagazinethailand/
♥ Facebook : https://www.facebook.com/okmagthailand
♥ Twitter : https://twitter.com/okthailand
Comments
comments