
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “Who Has the Biggest Office in the World? Our King.” มาบ้าง ประโยคสั้นๆ แต่กินใจนี้นับว่าเป็นเรื่องจริงแท้ เมื่อเราพบว่าห้องทรงงานตลอด 70 ปี ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น มีขนาดกว้างใหญ่กว่าใคร เห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกิดขึ้นตลอดรัชสมัย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และมีจำนวนมากถึง 4,685 โครงการ โดยทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร ผ่านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืนและพอเพียง ทั้งหมดนี้เป็นแรงดลใจให้เกิดนิทรรศการ “ดิน น้ำ ป่า ฟ้า แรงบันดาลใจจากพ่อ” หนึ่งในนิทรรศการของโครงการ “น้อมรำลึกองค์อัครศิลปิน” จัดโดยหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ภายใต้การดูแลของภัณฑารักษ์ 3 ท่าน ได้แก่ คุณฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที อาจารย์อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ และคุณอภิศักดิ์ สนจด โดยนำเสนอหลักคิดตามแนวพระราชดำริและพระราชปณิธานของพระองค์ในการปกปักรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและการสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งในด้าน ดิน น้ำ ป่า ฟ้า ผ่าน 90 ผลงานของ 45 ศิลปิน ที่ร่วมสร้างสรรค์บทสนทนาทางศิลปะในประเด็นต่างๆ ของสังคม เช่น ชุมชน วิถีชีวิต สภาวะแวดล้อม ฯลฯ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจจากพ่อสู่อนาคตที่ยั่งยืน
แรงบันดาลใจของการจัดนิทรรศการ
คุณอภิศักดิ์ สนจด หนึ่งในภัณฑารักษ์ เผยว่าการจัดนิทรรศการครั้งนี้มีสิ่งที่ท้าทายตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน “เนื่องจากนิทรรศการ “ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” นำเสนอภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ขององค์อัครศิลปิน ในขณะที่นิทรรศการ “พระราชาในดวงใจ” นำเสนอผลงานศิลปกรรมอันทรงคุณค่าจากศิลปินชั้นนำ ตลอดจนพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งหาชมได้ยาก โจทย์ของเราจึงอยู่ที่จะนำเสนอนิทรรศการอะไร ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจและแตกต่างจากสองนิทรรศการข้างต้น ภัณฑารักษ์ทั้งสามจึงต้องมาระดมความคิดกันนานกว่า 2 เดือน ก่อนจะเริ่มตีโจทย์ว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ความสนพระทัยเรื่องใดเป็นพิเศษ ซึ่งคำตอบที่เราค้นพบก็คือพระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั่วประเทศกว่า 4,000 โครงการ ตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ เพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดียิ่งขึ้นและยั่งยืน เป็นที่มาของนิทรรศการ “ดิน น้ำ ป่า ฟ้า แรงบันดาลใจจากพ่อ” ที่เราต้องการศึกษา สืบสาน และส่งมอบพระราชปณิธานของพระองค์ไปสู่พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ”
ร้อยเรียงเรื่องราว ดิน น้ำ ป่า ฟ้า
สำหรับการคัดเลือกผลงานศิลปะที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ ผลงานส่วนใหญ่เป็นของศิลปินจากต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่พระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ คุณอภิศักดิ์กล่าวว่า “เมื่อเราคัดเลือกศิลปินที่จะจัดแสดงผลงานได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการปล่อยให้เขาได้ตกผลึกทางความคิดด้วยตัวเอง ว่าต้องการเล่าเรื่องราวที่สนใจใดผ่านผลงานศิลปะ โดยผู้ที่นำเสนอผลงานในนิทรรศการมีทั้งศิลปิน อาจารย์ พระสงฆ์ และปราชญ์ชาวบ้าน ส่วนผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในภัณฑารักษ์ก็ได้แต่คาดเดา และรู้สึกลุ้นเช่นกันว่าผู้ชมจะชอบนิทรรศการของเราไหม จะเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อได้มากน้อยเพียงใด ในขณะเดียวกันก็ อยากให้เขารู้สึกเพลิดเพลินที่ได้ชม และได้รับแนวคิดบางอย่าง หรือมีคำถามเกิดขึ้นในใจ ให้นำกลับไปหาคำตอบเองหลังจากนี้”
ผลงานศิลปะที่จัดแสดงในนิทรรศการนี้ส่วนใหญ่เป็นศิลปะจัดวาง (Installation Art) “ความยากอยู่ที่การจัดวางพื้นที่ในการจัดแสดง เราต้องวางแผนการเล่าเรื่องอย่างละเอียดและตั้งใจว่าเมื่อผู้ชมเข้ามา เขาจะเจอกับอะไรก่อน อย่างที่นี่ผู้ชมเข้ามาก็จะเห็นกองฟาง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านในชนบทที่เข้าถึงง่าย ในขณะที่ศิลปะบางงานต้องการความมืด พื้นที่แสงจึงเป็นเรื่องสำคัญ บางชิ้นเป็นงานแบบอินเตอร์แอ็คทีฟที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วม นิทรรศการของเราจึงต้องมีคนนำชม เพราะบางผลงานต้องการคำอธิบาย บางงานต้องมีระบบน้ำและระบบไฟเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราจึงต้องทดสอบการใช้งานให้แน่ใจว่าระบบของเรานั้นปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์”
คุณอภิศักดิ์ยกตัวอย่างผลงานศิลปะที่น่าสนใจให้ฟังว่า “ชิ้นงานหนึ่งของเรานำเสนอกรอบรูปหยดน้ำในรูปแบบล็อกเกตจำนวน 4,685 ชิ้นตามจำนวนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภายในล็อกเกตประกอบด้วยดิน น้ำ และเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในที่ดินบริเวณโครงการพระราชดำริ โดยจัดสัดส่วนการบรรจุด้วยการใช้สูตร 30 (น้ำ): 30 (เมล็ดข้าว): 30 (เมล็ดพืช): 10 (ดิน) ตามหลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ และจัดการแขวนด้วยเส้นไหมที่นำมาจาก อ.บ้านโพน จ.กาฬสินธุ์ อันเป็นพื้นที่ผลิตผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นผู้ริเริ่มพัฒนา ทั้งนี้กรอบรูปหยดน้ำทั้งหมดอยู่ในโครงสร้างรูปทรงแผนที่ประเทศไทย อันเป็นสถานที่ทรงงานขนาดใหญ่ของพระองค์ ล็อคเกตมีลักษณะเหมือนกรอบพระ ซึ่งเป็นสิ่งเตือนใจว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ เป็นการนำเสนอความคิดที่ลึกซึ้งมาก นอกจากนี้เรายังนำเสนอผลงานศิลปะที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมในท้องทุ่งกว้างของบรรพชนชาวอีสานที่ปรับเปลี่ยนไปสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อการดำรงชีวิต และที่ขาดไม่ได้เลยเห็นจะเป็นผลงานศิลปะที่เกี่ยวกับกังหันชัยพัฒนา ที่มีส่วนสำคัญในการรักษาแหล่งน้ำและบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำริ ตลอดจนผลงานศิลปะที่ชวนให้เราเห็นความสำคัญของการปลูกป่า รักช้าง สำนึกรักบ้านเกิด รวมทั้งเห็นความสำคัญของฝนหลวงที่นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณ ปราศจากความแห้งแล้ง ฯลฯ” เรียกได้ว่าทุกผลงานชวนให้เราตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของดิน น้ำ ป่า ฟ้า อย่างแท้จริง
ความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการนี้
ที่ผ่านมาตัวผมไม่เคยจัดนิทรรศการที่เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริมาก่อน แต่เรื่องราวของพระองค์เป็นสิ่งที่เราอยากรู้มากอยู่แล้ว พอได้มาเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการนี้ นั่นยิ่งทำให้ผมเคารพ นับถือ และยกย่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเพื่อพสกนิกรชาวไทยทั่วทุกภูมิภาค คือสิ่งที่เราชาวไทยควรเคารพกราบกราน เราไม่เพียงมองว่าพระองค์เป็นดั่งสมมติเทพที่ต้องเคารพกราบกรานเท่านั้น แต่พระราชดำริของพระองค์ในเรื่องต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ยังเป็นสิ่งที่เราควรเคารพยกย่องด้วยเช่นกัน ซึ่งการจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้นได้อย่างยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ความมหัศจรรย์ที่ได้เห็นจากการจัดนิทรรศการ
ภัณฑารักษ์มืออาชีพเปิดใจถึงเรื่องดีๆ ที่เขาได้ค้นพบจากการจัดนิทรรศการนี้ว่า “ความยากของนิทรรศการ “ดิน น้ำ ป่า ฟ้า แรงบันดาลใจจากพ่อ” คือการที่เราต้องนำของทุกๆ อย่างมารวมกันในที่เดียว แต่ทุกคนเต็มที่มาก มีสิบให้สิบ มีร้อยให้ร้อย ระหว่างทางอาจจะมีหมดแรงหรือเป๋ๆ ไปบ้าง สงสัยว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่พอดึงตัวเองกลับมาและตั้งสติได้ เราก็ตระหนักว่าสิ่งสำคัญของนิทรรศการนี้คือเรื่องของความหมาย เราทำนิทรรศการนี้เพื่ออะไร เมื่อทุกอย่างชัดเจน เราไปต่อได้ ทุกคนเข้าใจและให้ความร่วมมือ จนเกิดเป็นนิทรรศการที่สมบูรณ์พร้อมในที่สุด ความมหัศจรรย์อีกข้อหนึ่งที่เห็นคือความมหัศจรรย์ในแง่ของความคิดที่ได้รับการนำเสนอออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ที่ผมและทีมงานมีโอกาสสัมผัสและรับรู้ด้วยตัวเองระหว่างการเก็บข้อมูล ไม่ใช่จากการเห็นผ่านวิดีโอหรืออะไร เราได้เห็นว่าชาวบ้านมีความฝัน และทุกวันนี้ความฝันของเขาก็เดินไปข้างหน้าแล้ว เขารู้แล้วว่าชีวิตของเขาคืออะไร จะทำมาหากินแบบไหนถึงจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน เขาอยู่ได้ด้วยศาสตร์พระราชาที่เรียนรู้มา และผมรู้สึกว่าเขามีความสุขกับชีวิต ทั้งหมดนี้ย้อนกลับมาที่ทุกข้อแนะนำและโครงการพระราชดำริของพระองค์ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทยจากครอบครัว ชุมชน ไปสู่ระดับประเทศ”
สิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้ในใจคุณ
มีหลายเรื่องที่ยังอยู่ในใจครับ แต่ที่สำคัญคือพระองค์ทรงสอนให้เรารู้จักความพอเพียง รวมทั้งรู้จักนึกถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง เนื่องจากสังคมในทุกวันนี้มีผู้คนมากขึ้น ทุกอย่างหมุนไปไวมาก และบางคนก็มักจะคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าคนอื่น ผมรักและเคารพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แนวพระราชดำริหลายๆ เรื่องของพระองค์จะยังคงอยู่ในใจของผมตลอดไป พร้อมยังหวังด้วยว่านิทรรศการนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผองไทยทั้งปวงได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่เป็นผลแผ่กระจายกว้างใหญ่ไพศาลสู่พสกนิกรทั่วประเทศ และหันมาใส่ใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายธารแห่งชีวิต เพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืนสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ดังพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า “…ธรรมชาติแวดล้อมของเรา ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ทะเล และอากาศ มิได้เป็นเพียงสิ่งสวยๆ งามๆ เท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของเรา การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเราไว้ให้ดีนี้ ก็เท่ากับเป็นการปกปักรักษาอนาคตไว้ให้ลูกหลานของเราด้วย…”
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
♥ Website : http://www.okmagazine-thai.com/
♥ Instagram : https://www.instagram.com/okmagazinethailand/
♥ Facebook : https://www.facebook.com/okmagthailand
♥ Twitter : https://twitter.com/okthailand
Comments
comments