
โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล เคยผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายมาอย่างฉิวเฉียด นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่าทุกเสี้ยววินาทีของชีวิตนั้นมีค่าขนาดไหน สิ่งที่เธอเลือกทำหลังจากนั้นคือการทำสิ่งที่มีคุณค่าให้กับชีวิตของตัวเองและผู้อื่น เธอปฏิเสธที่จะเสียเวลาไปกับภาษีสังคมที่ไม่ได้ให้อะไร แต่เลือกใช้ช่วงเวลากับคนที่สำคัญในชีวิต และแน่นอนว่าน้องอลิน-อลัน ทายาทฝาแฝดสุดน่ารักของเธอคือที่หนึ่งในใจเสมอ ทุกวันนี้แม้โอปอล์จะเป็นคุณแม่แบบฟูลไทม์ แต่ก็จัดสมดุลชีวิตในเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเรื่องการดูแลครอบครัว ธุรกิจ งานในวงการ และการดูแลตัวเอง
วันแม่ปีนี้ OK! ร่วมกับ Tory Burch จึงเลือกเธอเป็นหนึ่งในคุณแม่สุดสตรองที่จะมาบอกเล่าถึงแนวคิดในการดำเนินชีวิตและการลำดับถึงเรื่องสำคัญต่างๆ คงเพราะมุมมองความคิดตกผลึกนี้ที่ทำให้ใครๆ ต่างยกให้เธอเป็นซูเปอร์มัมระดับพรีเมียม
โอปอล์และคุณหมอโอ๊ค (สมิทธิ์ อารยะสุกล) มีเทคนิคการเลี้ยงน้องๆ อย่างไรคะ?
ปอล์กับพี่โอ๊คเลี้ยงลูกแบบใช้สัญชาตญาณตัวเองจริงๆ เราอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกบ้าง ซึ่งมีให้ศึกษาจากหลากหลายช่องทาง แต่ความจริงเราต่างรู้ดีว่าลูกแต่ละคนไม่เหมือนกัน และคนเป็นแม่ย่อมรู้อยู่แล้วว่าลูกเราเป็นอย่างไร อย่างอลินเป็นคนที่อยากทำอะไรก็ทำเลยเหมือนปอล์ สมมติเจอน้ำในสระ เขาจะกระโดดลงไปเลยโดยไม่สนว่าน้ำจะตื้นหรือลึกอย่างไร แต่ถ้าเป็นอลัน เขาจะดูก่อนว่านี่คืออะไร จากนั้นจึงค่อยๆ แหย่เท้าลงไป ดังนั้นกับลูกสาว เราบอกให้เขาใจเย็นๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แต่กับลูกชาย เราบอกเขาว่าไม่ต้องกลัวลูก ไปได้เลย เห็นเด็กๆ สนุกสนานขนาดนี้ แต่หลายอย่างเราอิงวิชาการนะคะ เช่น ช่วงก่อน 2 ขวบ เราจะไม่ให้ลูกดูจอ เพราะนั่นอาจทำให้เขากลายเป็นเด็กสมาธิสั้น และตั้งแต่คลอดลูก ปอล์เบางานเบื้องหน้าลงไปเลย หรือถ้าทำงาน บางครั้งเราจะพาเขาไปด้วย เพราะเราตั้งเป้ากับพี่โอ๊คว่าอยากให้ลูกแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เรารู้ว่าถ้าร่างกายไม่แข็งแรง จะพาชีวิตไปได้ยาก
ส่วนความแข็งแรงทางจิตใจนั้นหมายความว่าเรา 2 คนจะเติมเต็มความรักให้เขาตั้งแต่เด็ก ให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่รักเขามากแค่ไหน ให้เขามีความสุขกับตัวเอง เราเลี้ยงลูกตามวัย ไม่อยากให้เขากังวล เช่น คนชอบมาคอมเมนต์ในอินสตาแกรมว่าทำไมไม่ทำผมให้ลูก ปล่อยผมเขาให้ดูกระเซอะกระเซิง ปอล์รู้สึกว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง ต้องได้เล่นดิน เล่นทราย ไม่ต้องห่วงสวยหล่ออะไร เพราะเมื่อวันหนึ่งที่โตขึ้น ลูกจะห่วงสวยห่วงหล่อเอง ช่วงที่เด็กอายุตั้งแต่แรกเกิด-3 ขวบเป็นช่วงที่เปลี่ยนคนให้เป็นมนุษย์ ดังนั้นเราจึงไม่อยากให้เขามีช่องว่างอะไรเลย เพื่อวันหนึ่งที่มีความรักหรือเจอใคร เขาจะได้ไม่เป็นคนที่ต้องรอให้คนมาเติมเต็ม นั่นเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด เรากลัวว่าลูกจะไม่รักตัวเอง เพราะเรารักลูกมาก หลังจากที่เติมเต็มทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว สติปัญญาคือสิ่งที่อยากให้เขามี ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องฉลาด เป็นหมอ เป็นทนาย แต่หมายถึงว่าเขาควรแยกแยะได้ว่าอะไรคือผิด ชอบ ชั่ว ดี เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งเป้าเลยว่าลูกจะต้องเรียนจบไปเป็นอะไรหรืออย่างไร ถ้า 3 อย่างนี้ คือร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาของเขาสตรอง เราในฐานะพ่อแม่ก็ OK! แล้วล่ะค่ะ
ตอนนี้โอปอล์เป็นคุณแม่แล้ว เคยกลับไปคิดถึงคุณแม่ตัวเองในโหมดไหนบ้างไหม?
เชื่อไหมว่าพอปอล์กลายเป็นแม่ เราเหมือนแม่อย่างเหลือเชื่อ แม่ปอล์เป็นคนที่ตลกมากสำหรับเรา แม่คนอื่นเขามักไว้ผมยาว งานวันแม่มักใส่กระโปรง แต่ในงานวันแม่ของปอล์ที่โรงเรียน แม่ปอล์ไว้ผมสั้น ใส่กางเกง แล้วเวลาปอล์กราบเท้าแม่ เขาก็จะหัวเราะ อารมณ์ประมาณว่าลูกทำอะไร เวลาเดินห้างแม่ชอบร้องเพลงและเต้น ตอนเด็กๆ ปอล์จะอายมาก บอกแม่ว่า “แม่ ทำไมแม่ไม่เรียบร้อย” แต่พอวันหนึ่งที่ปอล์เป็นแม่ รู้เลยว่าเราเองก็คือแม่มดแดงนี่ล่ะ และที่ตลกคืออลินก็เหมือนยายด้วย กลายเป็นว่าเราเป็นคน 3 คนที่เหมือนกัน หลายๆ อย่างที่ลูกแกล้งมันย้อนความจำว่าเราเองก็เคยแกล้งแม่แบบนี้มาก่อน เช่น ตอนลูกเด็กๆ ก็นอนกอดลูก แต่ตอนนี้อลิน อลัน บอกให้ปอล์ลงไปนอนพื้น เราก็ถามว่าทำไม เขาบอกว่าจะให้พ่อนอนด้วย ซึ่งเหมือนตอนเด็กๆ ที่เราติดพ่อและขับไล่แม่ ลูกเราเป็นเหมือนเราเลย ซึ่งเราได้แต่พูดไม่ออก (หัวเราะ)
ช่วงไหนในชีวิตที่รู้สึกว่าคุณถูกท้าทายกับบทบาทคุณแม่มากที่สุด?
ตลอดเวลานะคะ นี่ลูกเพิ่งอายุใกล้ 4 ขวบ เรายังรู้สึกถูกท้าทายตลอดเวลา นึกไม่ออกเลยว่าถ้าลูกเป็นวัยรุ่น ชีวิตเราจะถูกท้าทายถึงขั้นไหน ดีที่ปอล์ไม่ใช่เด็กเรียบร้อย และพอจำได้ว่าเด็กเมื่อโตเป็นวัยรุ่นเขาจะคิดอย่างไร ปอล์วางแผนตลอดเวลา เช่น ถ้าลูกมีแฟน เราจะทำอย่างไร มันท้าทายความคิดเรามากเลยนะ หรือถ้าย้อนเวลากลับไป ตอนลูกยังเล็ก ปอล์รู้สึกว่าทำไมลูกถึงไม่หลับไม่นอน ท้าทายเรามากในเรื่องการทำความเข้าใจ ทุกวันนี้พอลูกโตขึ้น อายุ 3 ขวบ เราคิดว่าจะสบายแล้ว กลายเป็นว่าเราก็ถูกท้าทายอีกแบบ เพราะเขาคิดเองได้ ซึ่งเวลาเขาเถียงหรือถามก็ท้าทายมากนะคะในการที่ต้องตอบให้ได้ โดยที่ไม่ให้คำตอบผิดๆ ไปเพื่อให้ลูกจำ บางครั้งเราต้องหาข้อมูลจากกูเกิลเพิ่ม
อย่างอลันเขารู้หมดเลยว่าต้นไม้มีพิษมีอะไรบ้าง วันหนึ่งเด็กอายุ 3 ขวบ 8 เดือนคนนี้ ก็เล่าให้ปอล์ฟังว่าสาเหตุที่แม่ของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น เสียชีวิต เป็นเพราะไปดื่มนมของวัวที่เคี้ยวต้นไม้พิษชื่อ White Snakeroot (รากอสรพิษขาว) มาค่ะ ที่มาของข้อมูลนี้มาจากสมิทธิ์ อารยะสกุล ผู้เป็นพ่อ ที่มักจะชอบเล่าเรื่องต่างๆ นานา เราก็ต้องไปเสิร์ชดูว่าดอกนี้คืออะไร มันท้าทายมากที่แม่ต้องรู้เรื่องที่ลูกเล่าหรือถาม หรือเวลาที่อลินถามว่า “ทำไมไม่ได้ล่ะคะ” เราก็ต้องมีคำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลเหมือนกัน ครอบครัวเราไม่ซื้อของเล่นให้ลูกเยอะ ซื้อชิ้นเดียวต้องแบ่งกันเล่น แต่ถ้าเป็นของเล่นผู้หญิง ปอล์ก็จะบอกอลันว่าชิ้นไหนเล่นได้ ชิ้นไหนเล่นไม่ได้ เช่น มงกุฎ ปอล์จะบอกว่าเป็นของพี่อลิน เล่นไม่ได้ แล้วอลันก็ถามว่า “ทำไมพี่อลินเล่นไดโนเสาร์ของเขาได้” เราก็เออจริง แต่ก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยว่า “เขาไม่เล่นกันลูก”, “เขาไม่ทำกัน” จะเห็นว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องท้าทายตลอด ที่สำคัญต้องทำให้เขารู้ว่าเรารักเขาเท่ากัน เช่น ถ้าปอล์อุ้มลูกแบบคู่กันได้ก็จะอุ้ม หรือถ้ามือหนึ่งอุ้มอลิน มือหนึ่งต้องจับอลันค่ะ
โอปอล์เป็นคนที่มีทั้งธุรกิจ ทำงานในวงการ มีเวลาไปหาเพื่อนๆ และยังเป็นคุณแม่เต็มเวลาด้วย ทั้งยังทำได้ดีเลยทีเดียว มีวิธีบาลานซ์เรื่องต่างๆ ในชีวิตอย่างไร
การเป็นแม่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปตลอดกาล เราไม่สามารถใช้ความต้องการของเราเป็นที่ตั้งได้ และปอล์ก็สนุกกับการมีลูก ดังนั้นสำหรับเรื่องการบริหารเวลาและชีวิต เลยใช้ความสุขและความสนุกเป็นหลัก นี่ก็ลูกเรา งานเรา ชีวิตเรา เรารู้ว่าตอนนี้บริบทชีวิตเปลี่ยนไป จากแต่ก่อนเป็นวัยรุ่น ตอนนี้ปอล์แต่งงานและมีลูก ซึ่งพอเป็นแม่คน เราก็ไม่สนุกกับการไปเที่ยวคนเดียวอีกแล้ว แต่สนุกกับการพาลูกไปเที่ยวด้วยกันทุกที่ เวลาเราไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศแล้วไม่เจอลูก เป็น 1 วันที่เศร้าเลยนะ ปอล์ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองและการตั้งหลักของเรา จริงๆ เวลาของทุกคนเท่ากันค่ะ ส่วนเรื่องการดูแลตัวเอง แม้บริบทชีวิตเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือทำอะไร เราก็คือตัวเรา ถ้าส่องกระจกแล้วรู้สึกว่าคนในกระจกไม่ใช่ตัวฉันเอง ก็มาดูแลตัวเองกันเถอะ ทำอย่างไรก็ได้ให้กลับมาเป็นคนที่ตัวเองอยากเป็น อย่าให้การมีลูกมาหยุดความสุข อย่าโทษและคิดว่าที่เราเป็นแบบนั้นเพราะมีลูกเลย
โอปอล์มีเทคนิคในการจัดลำดับความสำคัญของชีวิตอย่างไรบ้าง
การที่ปอล์ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาแทบทุกอย่างแล้วในชีวิต ปอล์พบว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียงลำดับความสำคัญให้ได้ แล้วคุณจะไม่อยากบ่นอะไรอีกเลย ปอล์ตั้งใจไว้แล้วว่าความสำคัญอันดับแรกของปอล์คือครอบครัว และลูกเป็นที่หนึ่งในชีวิต เพราะฉะนั้นในวันที่ลูกไปโรงเรียน ปอล์จะรับงานตั้งแต่ 9.00-13.00 น. เพราะ 8.00 น.ต้องส่งลูก แล้วเมื่อถึงเวลา 13.00 น. ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม เราจะต้องออกจากตรงนั้นเพื่อไปรับเขา เพราะลูกเลิกเรียนบ่าย 14.00 น. จากนั้นปอล์จะอยู่กับลูกไปจนเย็น เรื่องต่อมาคือเรื่องงาน ถ้าเป็นงานในวงการ ปอล์ไม่ต้องการชื่อเสียงหรือเงินทองมากไปกว่านี้ งานที่อยากทำเป็นงานของคนที่รู้จักและสนิทกัน เป็นการทำงานกับคนที่เราอยากเจอ ส่วนเรื่องธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Oab’s Soap หรือบริษัทนางแมวป่า ก็เป็นงานที่สนุกมาก เป็นแพสชั่นของเรา ดังนั้นถ้ามีงาน เราก็จะกระเตงลูกไปได้ เวลามีประชุมลูกค้าก็จะพาอลิน อลัน ไปด้วยบ่อยๆ
การผ่านช่วงเวลาวิกฤตในชีวิตมาได้ทำให้โอปอล์ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ด้วยความที่ผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายมา ปอล์เลยรู้แล้วว่า 1 นาทีในชีวิตเรามีความหมาย เราจะไม่เสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่อยากทำ ปอล์ไม่ไปงานเพื่อต้องการคอนเน็กชั่นถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไป เพราะการได้นอนกอดลูกมันมีความหมายมากกว่าการที่เราจะต้องไป “สวัสดีค่ะ คนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจนี้นะคะ” ตอนนี้การที่เราจะไปเจอใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรืออะไรก็ตาม ต้องเป็นคนที่เราอยากไปเจอจริงๆ และมีความหมาย การไปเจอเขามีความหมายกับปอล์ การที่เขาได้เจอปอล์มีความหมายกับเขา อย่างกลุ่มญาติมิตร หรือเพื่อนที่มาหาที่บ้าน เหล่านี้คือคนที่รู้สึกว่าเขาคือคนจริงๆ ในชีวิต
ตอนนี้คุณดูดีทั้งรูปร่างและหน้าตา เรียกว่าสวยขึ้นในทุกๆ วัน ช่วยเล่าถึงเคล็ดลับความสวยของตัวเองให้ฟังหน่อยได้ไหม
คงมาจากที่พี่โอ๊คทำให้ดูค่ะ ด้วยความที่เขารักเรามาก จึงไม่เคยบอกเราว่าปอล์อ้วนเกินไป อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่สะท้อนใจคือพี่โอ๊คดูแลตัวเองดีมาก ตื่นตี 5 ลุกขึ้นมาวิ่ง กินอาหารที่มีประโยชน์ ในวัยของเขา เขาไม่แก่เลย ก็เลยรู้สึกว่า แล้วเราซึ่งเป็นภรรยาล่ะควรทำตัวอย่างไร (หัวเราะ) ถ้าเราปล่อยตัวก็เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจนะ ดังนั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตอนลูกเข้าโรงเรียน ปอล์ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วัน แบ่งเป็นเข้ายิมสัปดาห์ละ 3 วัน มีทั้งเวทเทรนนิง คาร์ดิโอ และยืดกล้ามเนื้อด้วยพิลาทีส นอกนั้นก็วิ่งอยู่ที่บ้าน ส่วนเรื่องการกิน เราก็ระวังขึ้น เรื่องรูปร่างคือสิ่งที่ตามมา แต่ปอล์คิดว่าเราต้องแข็งแรงเพื่อลูก ช่วงที่ผ่านมา ปอล์นั่งยองๆ เล่นกับลูกไม่ได้ เพราะก่อนคลอดปอล์ต้องนอนโรงพยาบาล 2 เดือน พอได้ยืนก็ต้องกายภาพ แต่ไม่ค่อยได้ทำ แล้วดันใส่ส้นสูงไปทำงาน แถมยังมีคนมาชนหลัง ทำให้เอ็นไขว้คู่หน้าของขาเราขาดหมดเลย ตอนนี้ปอล์ไม่มีเอ็นไขว้ ทำให้นั่งยองๆ ไม่ได้ ก็คิดว่าทำอย่างไรดี ต้องผ่าเข่าเหรอ ไม่อยากผ่าเลย เลยเลือกออกกำลังกายเพื่อให้มีกล้ามเนื้อพยุงเข่าแทน ซึ่งพอออกกำลังกายอย่างจริงจังมาจนตอนนี้ พบว่าเป็นไปได้นะคะ ตอนนี้นั่งยองๆ ได้ ยืดได้ วิ่งขึ้นบันได 3 ชั้นกับลูกได้อย่างไม่เหนื่อย อีกอย่างคือเลือกกินด้วย รู้ว่าอะไรไม่ดีต่อสุขภาพก็ไม่กิน อดใจมากแต่ก็ต้องยอม ปรากฏว่าสุขภาพดีขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เพราะเราอยากเป็นแม่ที่ปีนเขาหรือว่ายน้ำกับลูกได้ ตอนที่ลูกยังเล็ก พี่โอ๊คสนุกกับลูกมาก ว่ายน้ำกับลูก แต่เราทำไม่ได้ เพราะเจ็บเข่า ปวดตัว แต่ตอนนี้ทำได้แล้ว ปอล์จึงแฮปปี้มากค่ะ
แล้วเรื่องความรักล่ะคะ มีวิธีกระชับความสัมพันธ์กับคุณหมอโอ๊คอย่างไร
โชคดีที่ปอล์กับพี่โอ๊คเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังนั้นเราจะหาเวลามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ เราไปส่งลูกด้วยกันทุกเช้า จากนั้นก็ไปทำงาน ซึ่งนอกจากพี่โอ๊คจะทำงานที่โรงพยาบาลสมิติเวชแล้ว เขายังมีคลินิกชื่อ Smith Prive’ Aesthetique ซึ่งถ้าปอล์ทำงานเสร็จ ก็จะขับรถแวะไปกินข้าวกับพี่โอ๊ค ตอนเย็นปอล์เป็นคนไปรับลูก เรียกว่าเช้าและเย็น เราจึงมีเวลาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว และจะมีวันเดทที่ไปไหนมาไหนและทำกิจกรรมด้วยกัน ไม่ว่าจะกินข้าวหรือดูหนังเดือนละ 1 ครั้งด้วย นี่เป็นช่วงเวลาอยู่ด้วยกัน 2 คน แต่นอกนั้นเราอยู่ด้วยกันทุกวันและมีลูกอยู่ด้วย ไม่มีปัญหาเลย
ดูโอปอล์กับหมอโอ๊ครักและให้เกียรติกันขนาดนี้ เคยมีปัญหาเรื่องลูกกันบ้างไหม
ไม่นะคะ แต่จะคุยกันมากกว่า บางทีพี่โอ๊คออกแนวใจดีกับลูกมาก เราก็เลยจะมีกฎ เช่น พี่โอ๊คไปซื้อไอแพดมาเพื่อจะเล่นเกมกับลูก แต่เป็นเกมเขียนหนังสือ เอามือลากไปเป็น ก. เป็น ข. พี่โอ๊คบอกว่าจะช่วยฝึกเขา ปอล์เห็นแล้วก็ OK! ลูกเอ็นจอยมาก แต่เรากลัวลูกติดจอ เลยบอกว่าพี่โอ๊คอันนี้ปอล์ว่าปอล์ติด เราซื้อเป็นสมุดคัดลายมือไหม พี่โอ๊คก็ OK! เห็นด้วย แต่ว่าแนวทางตรงกันหมดทุกอย่าง เรื่องความคิดและการเรียนก็ไม่เคยทะเลาะกัน
ด้วยความที่น้องเป็นเด็กที่ใครๆ ก็เอ็นดู มีวิธีเลี้ยงน้องอย่างไรไม่ให้หลงใหลไปกับสิ่งรอบตัวที่ทุกคนหยิบยื่นมาให้เขา
เรื่องนี้สำคัญนะคะ เพราะตอนนี้ลูกเราเด็กจริงๆ เขาไม่รู้ว่าจะต้องเรียงคำพูดอย่างไร เวลาคนมาโดนตัวเขา เราก็ต้องสอนว่าต้องทำตัวอย่างไร เวลาปอล์กับพี่โอ๊คไปไหนกับลูก แล้วมีคนมาขอถ่ายรูปกับน้อง ปอล์จะบอกว่าถ่ายกับพ่อแม่แทนได้ไหมคะ เหตุผลเพราะไม่อยากให้ลูกออกไปไหนแล้วรู้สึกชินกับการมีคนมาขอถ่ายรูป เพราะถ้าวันหนึ่งไม่มีคนมาขอถ่ายรูป เขาจะเสียเซลฟ์หรือเปล่า เขาจะถามไหมว่าเขาทำอะไรผิด ซึ่งเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ปอล์อยากกันเขาจากตรงนี้ และขนาดเราเข้าวงการมาตอนอายุ 24 ปี ตอนนั้นยังรู้สึกเลยว่าชื่อเสียง เงินทอง มันเย้ายวนมาก การที่ไปไหนไม่ต้องต่อคิว ได้ของฟรีทุกอย่างในชีวิต มีคนเข้ามาเอาอกเอาใจ มันทำให้เหลิงได้ขนาดไหน นั่นคือสิ่งที่ไม่อยากให้ลูกเจอ เราอยากให้เขาเป็นเด็กปกติ ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ ด้วยความสุข งานที่เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ให้ถ่ายแค่วันเสาร์-อาทิตย์ เพราะลูกต้องไปเรียน จริงๆ ทั้งคู่ตกใจเหมือนกันนะคะเวลาไปไหนแล้วคนเรียกชื่อเขา บางทีก็มาถามว่า “คุณแม่ทำไมเขารู้จักชื่อหนู” ก็เลยต้องระวัง หรือเวลามีคนมาบอกว่าเป็นแฟนคลับน้อง ก็จะบอกว่า “ใช้คำว่าเอ็นดูน้องก็พอค่ะ น้องไม่ได้มีผลงานอะไรที่จะเป็นแฟนคลับ” เรายอมให้เกลียดนะเพื่อปกป้องลูก แต่โชคดีที่เวลาเราคุยแล้วหลายคนก็เข้าใจ
ตอนนี้น้องๆ เข้าโรงเรียนแล้ว ดูมีความสุขมาก แต่ละคนเริ่มฉายแววด้านไหนบ้างไหม
ตอนก่อนเข้าโรงเรียนก็กังวลนะว่าลูกเราจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม แต่พอเข้าโรงเรียนปุ๊บ ทั้งคู่กลายเป็นเด็กที่เข้ากับใครก็ได้ เอ็นจอยกับการเจอผู้คนและการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เป็นเด็กที่ร่าเริงและมีพลังบวกเยอะมาก เรามีความสุขมากค่ะ เขาสนุกกับการเรียนรู้และกลับมาเล่าให้เราฟัง เราจะฟังเขาทุกอย่าง เช่นวันนี้เขาทำอะไร กินอะไร จะกล้าเล่า กล้าทำ ปอล์รู้สึกว่าทั้งคู่เป็นเด็กที่ไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องกังวล แววตาเขาไม่มีความเศร้าหรือไม่สบายใจ รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ถูกทางแล้วที่ทำให้ลูกมีความสุขกับตัวเอง แววของอลันคือเป็นเด็กเรียนเก่งมาก เขาจำได้หมดว่ารูปนี้ถ่ายที่เอ็มควอเทียร์หรือเอ็มโพเรียม ซึ่งขนาดแม่เองยังไม่รู้ว่ามุมไหนที่ทำให้เขาจำได้ว่าเป็นที่ไหน คุณครูเรียกไปคุยเลยว่าอลันเป็นเด็กฉลาดทางสติปัญญา เพราะเขาสามารถจำข้อมูลทั้งแบบกว้างและเชิงลึกอย่างละเอียดได้ เรื่องการศึกษานี่คือได้พ่อ ส่วนอลินจะเป็นสายที่สุดของการรักการแสดงบนเวที นางเอ็นจอยกับการได้เจอผู้คน ขึ้นเวที พี่โอ๊คเคยพูดนะคะว่า เอ๊ะ เราคาดหวังเรื่องเกรดของอลินได้ไหม ปอล์บอกว่าไม่เป็นไรหรอก (หัวเราะ) ให้เขาเอ็นจอยกับสิ่งที่เขาเป็นเถอะ ถ้าเป็นเรื่องเต้น อลินสู้ตาย ส่วนอลันจำชื่อสัตว์ทะเลได้ทุกตัว จำชื่อต้นไม้ ดอกไม้ พันธุ์ไดโนเสาร์ได้หมด และจำได้เลยว่าตัวไหนกินพืช กินเนื้อ เขาจำปลาไหลแต่ละประเภทได้ อลันเป็นคนอธิบายเรื่องนิวตรอน อิเล็กตรอน ให้ปอล์ฟัง ซึ่งเราอะเมซิ่งมาก ยิ่งพอเขาถามว่าคุณแม่ครับ ทำไมตัวนี้ไม่กลายเป็นอิเล็กตรอนล่ะครับ เรายิ่งตอบเขาไม่ได้ ปอล์ก็เลยบอกพี่โอ๊คว่าถ้าเทอมหน้าเขาโตกว่านี้ ปอล์คงสอนการบ้านลูกไม่ได้แล้วนะ (หัวเราะ) พี่โอ๊คเลยบอกว่าจะออกเวรตอนเย็นที่คลินิกเพื่อมาสอนลูก
ท่าทีหรือคำพูดที่อลิน อลัน มักได้รับจากคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะเป็นแบบไหน
ลูกอยู่กับเราตลอดและดูเราเป็นตัวอย่าง ดังนั้นคำพูดหรือการกระทำของลูกจะเป็นสิ่งสะท้อนตัวเรา ทำให้ทั้งปอล์และพี่โอ๊คต้องระวังตัวมาก เรื่องการไหว้ การทำความเคารพ เราสอนลูกอย่างจริงจัง และดีใจที่ลูกเป็นคนพูดเพราะ เราสอนลูกว่าผู้หญิงพูด “คะ” “ค่ะ” ผู้ชายพูด “ครับ” นะลูก เพราะเรา 2 คนและปู่ ย่า ตา ยาย เป็นคนพูดอย่างนั้นในชีวิตจริง เขาก็จะชิน มีบ้างที่เขาได้คำพูดแปลกๆ มา เช่น อลินพูด “แก” เราก็จะบอกว่าพูดแกไม่ได้นะคะ เพราะเป็นคำพูดไม่เพราะ อลินก็จะบอกว่า “เหรอคะ” แต่ศัพท์ของอลินจะแก่มากเหมือนกัน เนื่องจากเขาอยู่กับเรา อย่างเขาเพิ่งไปเรียนมาแล้วโรงเรียนสอนเรื่องนางพิกุลทอง ก็จะกลับมาเล่าเรื่องนางพิกุลทองให้เราฟัง ส่วนอลันมาบอกปอล์ว่าคุณแม่ครับ ผมอยากเห็นต้นมะกล่ำตาหนู เราก็คิดว่าอะไรคือต้นมะกล่ำตาหนู (หัวเราะ) ก็ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มค่ะ
ความประทับใจล่าสุดระหว่างโอปอล์กับลูกๆ คืออะไร
ถ้าถามถึงความประทับใจของแม่ที่มีต่อลูกเหมือนกับถามความประทับใจในการหายใจเข้า-ออก ไม่รู้จะตอบอย่างไร ตอบไม่ถูกเลย เพราะเขาคือทุกอย่าง เขาคือชีวิต ไม่สามารถอธิบายคำว่าทุกอย่างของชีวิตเราว่าเป็นอย่างไรได้ เกือบ 4 ปีแล้วที่ปอล์มีเขาในชีวิต มันเร็วมาก แล้วเดี๋ยวก็จะเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นปอล์จะทำทุกโมเมนต์ให้เป็นความทรงจำที่ลึกของปอล์เลย อย่างเมื่อคืนก่อนนอน เขาจับหน้าปอล์ไว้ แล้วจุ๊บหน้าผากก่อนนอน มันคือโมเมนต์ที่มีความสุขมาก เพราะไม่ว่าเราจะไม่มีความหมายกับใคร แต่เราคือโลกทั้งใบของลูกเรานะ เราไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร เพราะถ้าเขาเป็นวัยรุ่นก็คงจะเป็นอีกแบบ ดังนั้นก็เลยต้องทำทุกช่วงเวลาให้มีความหมายที่สุด ไม่ทิ้งเขาเลยสักนาที ลูกถามอะไรเราจะตอบ แล้วเวลาลูกพูดอะไร ปอล์จะมองตาเขาตลอด ให้รู้ว่าแม่ฟังและแม่ไม่เคยรู้สึกว่าลูกไม่สำคัญ เมื่อวันหนึ่งเขาอายุ 13 หรือ 23 หากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาจะได้รู้ว่าแม่คอยฟังแน่นอน เรื่องนี้สำคัญสำหรับเรามาก
คำถามที่มักถูกถามบ่อยๆ คือเรื่องอะไร และอยากให้คำตอบว่าอย่างไรคะ
คนมักถามปอล์ว่าพอเป็นแม่ ชีวิตเปลี่ยนไปไหม ซึ่งปอล์อยากบอกว่ามันเปลี่ยน แต่ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ เพราะคำว่า “แม่” ยิ่งใหญ่กว่านั้น การเปลี่ยนชีวิตตัวเองเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย แล้วจะมีคนที่รู้สึกว่าพอเป็นแม่แล้ว ทำไมต้องทำทุกอย่างเพื่อลูก ทำไมไม่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองบ้าง คำถามนี้ปอล์รู้สึกว่าเอาใหม่นะคะ ตั้งหลัก การที่เราทำทุกอย่างเพื่อลูกไม่ได้หมายความว่าเราสูญเสีย สำหรับปอล์ การเป็นแม่คือชีวิตบทใหม่ที่ทำให้ได้เรียนรู้ความหมายอะไรบางอย่างที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน ตอนเป็นลูก เรารักพ่อแม่เรามาก พอเราเป็นแม่ เราเพิ่งเข้าใจว่าความรักอีกอย่างที่ไม่มีเงื่อนไขจริงๆ คืออะไร การที่เราทำอะไรก็ตามให้ลูก 2 คนนี้ เราไม่รู้สึกเหนื่อย เจอเรื่องยากลำบากหรือท้อถอย ปอล์ไม่เข้าใจคนที่ตั้งสเตตัสว่าก่อนมีลูกฉันเที่ยวทุกคืน แต่พอมีลูก ฉันต้องมาอยู่บ้าน เฝ้าบ้านเลย เพราะลูกไม่ได้เรียกร้อง แต่เพราะเธอทำให้ลูกเกิดมาไง แล้วจะเรียกร้องอะไร สำหรับปอล์ ปอล์ไม่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก เพราะการได้เป็นแม่ทำให้เรารู้สึกยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
ความรู้สึกของคำว่า “แม่” เกิดขึ้นกับโอปอล์ตอนไหน
มันไม่เหมือนในละครนะคะ ไม่ใช่ช่วงตั้งครรภ์แล้วน้ำตาไหล เราแค่รู้สึกว่าความรู้สึกของคำว่า “แม่” มีมากขึ้นในทุกๆ วัน ปอล์เริ่มรู้สึกมีความรู้สึกนี้ในวันใกล้ๆ คลอด ด้วยเงื่อนไขคือเราไม่รู้ว่าเขาจะรอดหรือเปล่า จะพิการไหม ความรู้สึกตอนนั้นคิดแค่ว่าอะไรไม่ดีขอให้เกิดที่เรา อย่าเกิดที่ลูก ถ้าปอล์ตาย ขอให้ลูกรอด ถ้าฤทธิ์ของยาที่เราต้องให้ตอนคลอดนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ลงที่เรา อย่าลงที่ลูกเลย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติทั้งๆ ที่เรายังไม่เห็นหน้าเด็ก 2 คนนี้ แล้วตอนยังไม่คลอด หมอต้องเอาเครื่องฟังหัวใจมาฟังทุกชั่วโมงว่าหัวใจยังเต้นทั้งคู่ไหม ตอนนั้นคือช่วงที่บีบหัวใจเรามาก เรารู้สึกว่าให้เราตายเถอะ แต่ให้ลูกเรารอด แล้วพอคลอดเขาออกมา แล้วเริ่มโตขึ้น ความเป็นแม่ก็ยิ่งมีมากขึ้น วันที่เห็นเขานอนในตู้อบ เราเห็นเขาทรมาน โมเมนต์นั้นยิ่งกระแทกใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่เกิดขึ้นกับเรา ทำไมลูกเราไม่ออกมาตัวอ้วนแล้วแข็งแรงเลย ทำไมลูกเราต้องหยุดหายใจ เขาเจ็บปวดไหมกับสายที่สอดเข้าไป เราเห็นความเจ็บปวดของลูกตั้งแต่ยังเด็ก นั่นล่ะที่ความรู้สึกของคำว่า “แม่” มันเริ่มมา ความเป็นแม่ที่รู้สึกว่าอยากแลกและแลกได้หมดแม้แต่ชีวิตเรา แล้วยิ่งเขาโตขึ้น ความรักและความรับผิดชอบของเราก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่เราก็ตั้งขีดไว้นะว่าเมื่อลูกโตขึ้น เราจะปล่อยให้เขาเลือกเองทุกอย่าง เรามีหน้าที่แค่ให้ทุกๆ อย่างแก่เขาให้มากที่สุดในช่วงต้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกาย จิตใจ สติ และปัญญา เมื่อเขาโตขึ้น อยากเลือกทางเดินไหน ทำอาชีพอะไร เป็นเพศไหน นับถือศาสนาอะไร เราสนับสนุนทุกอย่าง จะไม่ถือว่าลูกคือสมบัติของตัวเองนะ การทำงานทุกวันนี้คือทำงานไว้เลี้ยงดูตัวเองตอนแก่ ลูกไม่ต้องมาเลี้ยงและไม่ต้องมาทำตามความต้องการอะไรของแม่ทั้งสิ้น ลูกอยากทำอะไรทำ เราจะสนับสนุน เราไม่คิดว่าความเป็นแม่ของเราคือการเป็นเจ้าของเขา เราอยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด นั่นคือสิ่งที่แม่อย่างเราต้องการ
สิ่งที่อยากส่งต่อให้ลูกคืออะไร
อยากให้ลูกมีความสุข ให้ร่างกายลูกแข็งแรง ให้จิตใจลูกเข้มแข็ง วันไหนใครทำร้ายจิตใจลูก ให้ลูกเดินออกมาเลย เพราะถ้าลูกยอมให้เขาทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ขอให้รู้ว่าพ่อแม่เจ็บกว่า ขอให้มีสติ ปัญญา ที่เข้มแข็งพอที่จะแยกแยะผิด ชอบ ชั่ว ดี อย่างน้อยขอให้ดำรงตนอยู่ในศีล 5 และไม่เบียดเบียนใคร ถ้าลูกมีสิ่งเหล่านี้ ลูกจะไปทำอะไรในโลกได้เลย ปอล์เชื่อว่าลูกจะไม่ดึงตัวเองลงที่ต่ำ ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเจ็บ แต่ถ้าถามพี่โอ๊คก็จะได้อะไรที่ใหญ่กว่านี้นะคะ เพราะเขารู้สึกว่าคนเราเกิดมาต้องทำอะไรตอบแทนสังคม เขารู้สึกว่าในเมื่อตัวเรา OK! แล้ว ก็ควรดูแลคนอื่น ส่งต่อเรื่องดีๆ ให้คนอื่นด้วย ไม่ใช่เรียนให้เก่ง จบมาทำงานให้ดี มีเงิน แต่ควรทิ้งอะไรที่ทำให้เป็นร่องรอยของโลกใบนี้ที่รู้สึกว่าเราได้ด้วย และพ่อเขาก็สอนเรื่องนี้ให้แก่ลูกๆ ด้วยเหมือนกัน
แล้ววันแม่นี้ ตั้งใจว่าจะพาลูกๆ ไปไหนคะ
กินอยู่แล้วค่ะบ้านนี้ ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องนี้ (หัวเราะ) เพราะการกินเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้ใช้เวลาด้วยกัน วันแม่ปีนี้จะพาลูกไปเขาใหญ่ ไปเดินป่า ดูป่าต้นน้ำกัน เนื่องจากลูกปอล์ชอบธรรมชาติมาก เราเคยพาเขาไปเดินป่ามาแล้วครั้งหนึ่ง เขาเห็นต้นไม้ นก และช้างจริงๆ แล้วตื่นตากันมาก ปีนี้พอถึงวันแม่ซึ่งติดกับวันหยุดหลายวัน เลยจะพาเขาไปเดินป่าอีกครั้งค่ะ
ไอเท็มที่คุณแม่อยากส่งต่อให้กับลูก พร้อมคอนเฟิร์มว่าคลาสสิกตลอดกาลคืออะไร
ถ้าของพี่โอ๊ค เขาเก็บนาฬิกาไว้ให้อลันเยอะมาก ส่วนปอล์ก็เก็บเพชรไว้ให้อลินเยอะมากเหมือนกัน เนื่องจากเรื่องเคยผ่านความเป็นความตายมา เราจึงทำบัญชีทรัพย์สมบัติและพินัยกรรมไว้อย่างละเอียด เราจะถ่ายรูปทรัพย์สินเราทั้งหมดไว้ และเขียนไว้เลยว่าชิ้นไหนให้ใคร เราเก็บแหวนแต่งงานที่เป็นแหวนที่แม่พี่โอ๊คให้มาไว้ เผื่อถ้าวันหนึ่งอลันแต่งงาน แหวนวงนี้จะเป็นของอลัน มีเพชรอื่นๆ อีกมากมายที่เก็บไว้ให้ลูก สำหรับปอล์ เพชรคือสิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล นอกจากนี้ยังมีกระเป๋า รองเท้า ที่เก็บเหมือนกันนะคะ ทุกวันนี้ก็ยังสลับใช้กับคุณมดแดงอยู่เลย
แล้วคุณแม่แต่งตัวให้ลูกสาวอย่างไรบ้าง
ตอนเขาเด็กๆ ปอล์แต่งตัวให้เขาได้นะ จะแมตช์ชุดให้ลูก แต่ไม่ค่อยเป็นแนวผู้หญิงเท่าไร อลินเลยไม่ค่อยได้ใส่กระโปรง พออายุเข้า 3 ขวบ ตอนนี้แต่งตัวให้ไม่ได้อีกแล้ว อลินเลือกเองทั้งหมด บางทีลูกเรามาในชุดที่เราต้องเซอร์ไพรส์ คือติดกิ๊บสีเหลือง ใส่แว่นตาว่ายน้ำ หมวกคาวบอย ใส่เสื้อออกกำลังกาย แล้วถือขวาน ซึ่งเราก็ต้องยอม จะไปบอกว่าลูกต้องแต่งตัวแบบนี้นะ ก็จะไปทำลายความมั่นใจของเขา แต่บางทีการแต่งตัวของอลินก็แรงกับแม่มากเหมือนกันนะคะ (หัวเราะ)
นางแบบ: ปาณิสรา และอลิน อารยะสกุล
นายแบบ: อลัน อารยะสกุล
แต่งหน้า-ทำผม: ภคณัฏฐ์ พูลสวัสดิ์
เสื้อผ้า รองเท้า และ กระเป๋า: Tory Burch
สถานที่จัดจำหน่าย:
– ชั้น M พารากอน ดีพาร์ทเม้นสโตร์ 02-610-7734
– ชั้น 1 เซ็นทรัล ชิดลม 02-655-7916
– ชั้น M ดิ เอ็มควอเทียร์ 02-003-6422
สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์
ผู้ช่วยสไตลิสต์: คุณัชญ์ ดาวมณี
ช่างภาพ: ทินกร วงเบญจศิลป์
ผู้ช่วยช่างภาพ: ธนพร พิกุล และ ธีรภัทร รัตนกุลชัยอนันท์
สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
สถานที่: X2 Vibe Bangkok Sukhumvit Hotel โทร. 02 331 9091
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
♥ Website : http://www.okmagazine-thai.com
♥ Instagram : https://www.instagram.com/okmagazinethailand
♥ Facebook : https://www.facebook.com/okmagthailand
♥ Twitter : https://twitter.com/okthailand
Comments
comments