คูเปอร์-ภัทรพสิษฐ์ ณ สงขลา และปอย-กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช คู่จิ้นมาแรงที่ฮอตทั้งหน้าตาและความสามารถ

จากกระแสตอบรับที่ดีมากๆ ของ “My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ” ที่ออกอากาศทาง WeTV ทำให้ชื่อของคูเปอร์-ภัทรพสิษฐ์ ณ สงขลา และปอย-กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช ขึ้นแท่นคู่จิ้นที่มาแรงมากอีกคู่หนึ่งแห่งปี แถมได้ยินข่าวมาว่ากำลังจะมีอะไรพิเศษๆ ให้ได้ชมกันแบบอีกไม่นานเกินรอ ตามต่อมาด้วย My Engineer Season 2  ที่แฟนๆ เฝ้ารอก็อยู่ในช่วงของการจัดเตรียมงานดีๆ ออกมาให้ได้ชมกันอีกด้วย ครั้งนี้ OK! ได้ชวน 2 หนุ่มมาอัพเดตชีวิต พูดคุยถึงผลตอบรับ ความประทับใจ และมุมมองต่างๆ ที่ได้รับจากผลงานเรื่องล่าสุด รวมถึงเป้าหมายในอนาคตของพวกเขา ระหว่างการสัมภาษณ์เราได้เห็นความจริงจังในตัวของคูเปอร์ที่ใช้ชีวิตในวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก การทำงานตรงนี้ได้หล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ขณะเดียวกันก็ยังแฝงไว้ซึ่งความขี้เล่นแบบกวนๆ ตามวันและวัยของตัวเอง สำหรับหนุ่มปอยที่เพิ่งทำงานชิ้นนี้เป็นชิ้นแรกก็เต็มไปด้วยความสดชื่นและสดใส เขาพร้อมที่จะเรียนรู้ในโลกใบใหม่ที่ตัวเองเพิ่งก้าวเข้ามาสัมผัสอย่างสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็ยังขยันแจกจ่ายพลังงานบวกให้กับทุกคนรอบข้างเช่นกัน นอกจากนี้ทั้งสองหนุ่มสองสไตล์ยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคูเปอร์และปอย 2 หนุ่มจากซีรีส์ดังจึงกลายเป็นหนุ่มฮอตและขวัญใจของแฟนๆ ที่น่าจับตามองอยู่ในขณะนี้

กระแสตอบรับซีรีส์เรื่อง My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ เรียกว่าดีมาก ในฐานะนักแสดงรู้สึกอย่างไรบ้าง

คูเปอร์: รู้สึกดีใจมากๆ ครับ เพราะว่าซีรีส์เรื่องนี้เคยเป็นนิยายมาก่อน แล้วถูกคาดหวังจากแฟนๆ มากด้วย พอเราเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้เลยรู้สึกกดดันนิดหนึ่ง ต้องพยายามทำการบ้านเพิ่มขึ้น แต่พอผลตอบรับออกมาดีเกินคาด ผมและทีมนักแสดง ทีมงานทุกๆ คนก็รู้สึกดีใจและภูมิใจซึ่งกันและกัน เพราะเป็นซีรีส์ที่พวกเราช่วยทำมาตั้งแต่แรก เรียกว่าหายเหนื่อยเลยครับ นอกจากนี้ผมยังได้รับโอกาสและมีแฟนๆ ติดตามมากขึ้นจากซีรีส์เรื่องนี้ด้วย

ปอย: ผมก็รู้สึกดีใจเหมือนกันครับ ยิ่งเป็นผลงานเรื่องแรกของผมแล้วยังเป็นตัวหลักด้วย ผมยิ่งรู้สึกกดดัน เลยต้องทำงานออกมาให้ดีที่สุด ซึ่งพอได้รับการชื่นชมจากแฟนๆ ก็รู้สึกมีกำลังใจและมีความสุขมาก ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนเป็นครูของปอยด้วยครับ เพราะทำให้ได้เห็นอะไรใหม่ๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ตากล้องหรือทีมงานทุกคน มีพี่ๆ คอยสอนเรื่องการแสดง ได้รู้จักพี่และเพื่อนดีๆ ในกองถ่าย นอกจากนี้ งานตรงนี้ทำให้ผมกล้าแสดงออก กล้าทำอะไรหลายๆ อย่างและได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองมากขึ้น ทำให้ออกจากจุดที่เป็นจุดเซฟโซนของผมด้วยครับ

เรียกว่าคูเปอร์และปอยแจ้งเกิดจากเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งคู่รับมือกับการใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนที่มองเราอยู่อย่างไรบ้าง

คูเปอร์: ผมใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพียงแต่ต้องระวังตัวและมีสติมากขึ้นครับ เพราะว่าเราอยู่ในจุดที่มีแฟนๆ หรือคนที่รู้จักมองเห็น เลยทำให้ต้องคอยทบทวนตัวเองเสมอ อะไรที่ปรับได้ก็ปรับ อย่างน้อยจะได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนที่ชื่นชอบเราได้ครับ

ปอย: ผมก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นอย่างที่พี่เปอร์บอกครับ คือไม่ได้คิดไปเองนะ แต่รู้สึกว่ามีคนจับจ้องเราเยอะขึ้นหลังจากผลงานเรื่องนี้ออกอากาศ ดังนั้นการที่จะทำอะไร ต้องมีสติตลอด เมื่อก่อนตอนปอยอยู่กับเพื่อนก็จะเฮฮามากๆ แต่ตอนนี้ต้องเบาลง ทั้งการกระทำและคำพูดเลยครับ

เคยลองคิดเล่นๆ ไหมว่า เพราะอะไรถึงได้รับกระแสตอบรับที่ดีขนาดนี้

คูเปอร์: ผมไม่เคยมานั่งคิดขนาดนั้นนะครับ แต่พอได้ดูซีรีส์ของตัวเองเลยพอจะเข้าใจว่าความน่ารักของเรื่องนี้อยู่ที่ธรรมชาติของตัวละครที่บางทีมีความเป็นการ์ตูน มีกุ๊กกิ๊ก หรือทำไมตัวละครตัวนี้ถึงไม่รู้ หรือไม่ทันอะไรเลย อีกทั้งยังมีความตลกอยู่ในเรื่องด้วย ซึ่งตอนเล่นผมไม่คิดว่าจะตลกขนาดนี้ แต่พอผลงานออกมา กลายเป็นว่าทุกอย่างลงล็อกพอดี

ปอย: ผมว่าส่วนแรกน่าจะเริ่มจากนิยายที่มีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว พอมาทำเป็นซีรีส์เลยมีแฟนๆ ตามมาดูด้วย อีกอย่างคือเรื่องแคสติ้งครับ เพราะนักแสดงมีความใกล้เคียงกับตัวละครมาก ทำให้การเล่าเรื่องสมูธ และที่สำคัญอีกเรื่องคือการตัดต่อ ผมคิดเหมือนพี่เปอร์เลยครับเพราะตอนเล่นผมเองไม่คิดว่าจะออกมาได้ฮาขนาดนี้เหมือนกัน

ในฐานะที่คูเปอร์เป็นรุ่นพี่ในวงการ มีแนะนำรุ่นน้องอย่างปอยเรื่องไหนบ้าง

คูเปอร์: ส่วนมากเป็นเรื่องการวางตัวและการดูแลตัวเอง เช่น น้องเป็นคนชอบกินในสิ่งที่ตัวเองอยากกิน ซึ่งผมเข้าใจนะว่าน้องรู้สึกอย่างไร เพราะผมเป็นเหมือนกัน แต่พอต้องทำงาน และถ้าช่วงนั้นน้ำหนักขึ้นเราต้องยอมลดหรืองดบ้าง เพราะเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วจำเป็นต้องดูแลตัวเอง ส่วนเรื่องเล่นละคร น้องมีมาถามบ้างครับแต่ไม่มาก อะไรที่แนะนำได้ก็แนะนำครับ

ถามปอยนิดหนึ่งว่าคูเปอร์เป็นผู้ชายสายไหน

ปอย: พี่เขามีหลายสายครับ (หัวเราะ) ถ้าในการทำงานจะเป็นสายจริงจัง แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนๆ จะเป็นสายพูดไปเรื่อย แซว แกล้ง เฮฮา แต่ช่วงให้คำแนะนำถ้าเรื่องไหนซีเรียสจะจริงจัง แต่ถ้าไม่ซีเรียสมากก็อาจมีพูดติดตลกบ้างครับ

อยากให้คูเปอร์พูดถึงความน่ารักของปอยให้ฟังหน่อย

คูเปอร์ : เหมือนที่ทุกคนเห็นล่ะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนคงเห็นความร่าเริง ความใส ความไม่ซับซ้อน ซึ่งเป็นเสน่ห์และความน่ารักของเขา หลายๆ คนชอบความน่ารักของปอยตรงนั้น แต่บางทีเราก็ต้องเตือนน้องบ้าง เพราะมันเหมือนดาบสองคมนะครับ

แล้วปอยล่ะ คิดว่าคูเปอร์น่ารักตรงไหนบ้าง

ปอย: ผมเพิ่งเข้ามาทำงานตรงนี้ ไม่ค่อยมีคนมาคอยบอก คอยสอน มีพี่เปอร์นี่ล่ะที่เป็นหลักๆ ในเรื่องของการแสดง ส่วนหนึ่งก็เพราะเล่นคู่กัน ถ่ายซีนด้วยกัน พี่เปอร์จะเป็นคนคอยเตือน เขาเป็นคนเก็บรายละเอียด ช่างสังเกต ชอบดูแล และคอยเทกแคร์ครับ

คูเปอร์ทำงานในวงการนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เรื่อยมาจนถึงวันนี้ ตลอดการเดินทางในวงการบันเทิง สิ่งที่ได้เรียนรู้จากตรงนี้คืออะไร

คูเปอร์ :  ผมได้เรียนรู้ว่าทุกๆ อย่างที่เข้ามาคือการเรียนรู้ครับ แล้วมันจะเข้ามาตลอด ฉะนั้นถ้าเราเปิดรับและเรียนรู้ ปรับตัวจะทำให้เราสามารถพาตัวเองไปต่อได้ อย่างเช่น ตอนเด็กๆ เราทำงานแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จ แต่พอโตขึ้นมาอีกนิดเราอาจไม่สามารถทำงานแบบนั้นได้แล้ว สิ่งที่เขาชมเราในวันนั้น พอเราโตขึ้น มันอาจไม่ใช่คำชมแล้ว เราจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองเพื่อจะได้ทำงานต่อไปได้เรื่อยๆ สร้างผลงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เป้าหมายในวงการบันเทิงของคูเปอร์และปอยคืออะไร

คูเปอร์: ผมมีความฝันว่าอยากทำงานตรงนี้และมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้ รวมถึงมีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งทุกวันนี้พอมีอยู่บ้างระดับหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นตัวเล็กๆ อยู่ เลยทำให้เราต้องหมั่นพัฒนาตัวเอง ส่วนเป้าหมายสูงสุดยังไม่ได้วางไว้ คิดแต่ว่าเราควรทำทุกอย่างให้เป็นไปตามสเต็ปอย่างดีที่สุด เพื่อทำให้ตัวเองดีขึ้นในทุกวัน และสุดท้ายตัวเราจะอยู่ตรงไหนก็คือผลของการกระทำของเราที่ผ่านมาครับ

ปอย: ตอนนี้ยังไม่มีเป้าหมายในวงการบันเทิงครับ ปอยอยากทำงาน และทำให้ดีที่สุดทุกชิ้น หาประสบการณ์ในวงการไปเรื่อยๆ ก่อน แต่เป้าหมายหลักๆ ของปอยคืออยากให้แม่สบายครับ

มีเรื่องไหนที่คิดว่าดีแล้วและเรื่องไหนที่คิดว่าอยากปรับปรุงบ้าง

ปอย: ผมรู้ตัวเองมาตลอดว่าเป็นคนที่ไว้ใจคนง่ายมาก แค่นั่งคุยกันแบบนี้ก็สามารถสนิทกันได้เลยภายในวันเดียว แถมยังไว้ใจแบบเต็มร้อย แต่พอเริ่มทำงาน ได้รู้จักคนมากขึ้น ก็ทำให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้นครับ

คูเปอร์: ส่วนที่คิดว่าดีแล้ว คือผมชอบตัวเองในโหมดการทำงาน พอเป็นงานใหม่ ไม่ว่าจะในที่เดิม หรือละครเรื่องเดิม ผมจะมีความรู้สึกตื่นเต้น อยากทำตลอดเวลา และผมเป็นคนที่ชอบหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองด้วยเลยทำให้รู้สึกแอ็กทีฟตลอด ส่วนที่อยากปรับปรุงคือผมเป็นคนที่ใช้แรงบันดาลใจในการทำงานเยอะ หรือเรียกว่าตามอารมณ์บ้าง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นคนเต็มที่กับงานตลอด เพียงแต่บางครั้งอาจต้องมีแรงบันดาลใจก่อนถึงทำได้ หรือบางทีถึงทำได้แต่เรารู้สึกว่ามันไม่สุด เลยอยากแก้นิสัยตัวเองตรงนั้น อยากให้ทุกอย่างสมูธและให้ตัวเองรู้สึกอะเลิร์ตในการทำงานตลอดเวลา

แล้วการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ครั้งนี้คือภาพที่ฝันไว้ไหม

คูเปอร์: เป็นหนึ่งในภาพที่ตัวเองฝันไว้เหมือนกันครับ

ปอย: ผมไม่ได้คิดถึงขนาดนี้ครับ เพราะเกินคาดไปเยอะมาก ตอนแรกยอมรับว่าไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้จริงๆ คิดแค่ว่าทำให้เต็มที่ อยากให้คนที่ดูซีรีส์ชอบงานของเราครับ

ขอถามปอยนิดหนึ่ง เราได้เห็นรูปตอนเด็กของปอยในอินสตาแกรมด้วย ซึ่งตอนนั้นเป็นเด็กเจ้าเนื้อมาก แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้กลายเป็นหนุ่มรูปร่างสูง หุ่นเพรียวในวันนี้คืออะไร

ปอย: (หัวเราะ) เมื่อก่อนตอนป.4 ปอยเคยหนักประมาณ 70 กิโลกรัม เป็นเด็กอ้วน ตัวใหญ่และเจอสถานการณ์ที่มีปัญหาบ่อยมากเกี่ยวกับความอ้วน เช่น วิ่งไม่ทันเพื่อน รั้งท้ายตลอดอะไรอย่างนี้ พอประมาณม.3 ปอยเริ่มอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้น เลยไปเล่นกีฬา ต้องขอบคุณฟุตซอล ฟุตบอล บาสเกตบอลที่ทำให้ปอยสูงขึ้นและน้ำหนักลง แล้วแม่ก็ให้ดื่มนมด้วย น้ำหนักเลยค่อยๆ ลดลงแล้วเราก็โตขึ้นด้วย ตอนนี้ปอยสูง 183 หนัก 68-70 ครับ

มีหุ่นในฝันที่ทั้งคู่อยากได้ไหม

ปอย:  ผมชอบหุ่นแบบนัมจูฮยอกครับ

คูเปอร์:  สำหรับผมไม่ตายตัวว่าต้องเป็นใคร ผมชอบคนที่สไตล์ดี หุ่นดี รู้สึกว่านี่เป็นผลสำเร็จจากความพยายามของเขา อย่างนัมจุนฮยอกก็เป็นหนึ่งในไอดอลของผมเหมือนกัน แต่หุ่นแบบคริส เฮมเวิร์ด หรือพี่ดีเจพุฒ ( พุฒิชัย เกษตรสิน ) ผมก็ชอบนะครับ

แล้วใครในวงการที่เป็นไอดอลของทั้งคู่

คูเปอร์: ผมชอบพี่โทนี่ รากแก่นครับ ชอบสไตล์เขา รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การให้สัมภาษณ์ การวางตัว แล้วพี่เขายังเป็นคนมีไลฟ์สไตล์ เคยอยากจะไปตัดผมกับพี่เขานะครับ แต่ไม่มีโอกาส

ปอย: ไอดอลของผมมีหลายแขนงเลยครับ แต่ถ้าเป็นในวงการบันเทิง ผมชอบพี่ก้อง ( สหรัถ สังคปรีชา) ครับ ที่ผมชอบพี่เขาเพราะว่าแม่ผมชอบมาก่อนครับ

เล่าถึงความเหมือนและความต่างของคูเปอร์กับปอยให้ฟังหน่อย

คูเปอร์ : เรามีเรื่องที่ต่างกันเยอะมากครับ ไลฟ์สไตล์ไม่ค่อยเหมือนกัน เช่น น้องชอบกินของหวาน ผมชอบกินของคาว

ปอย: ถ้าให้ตอบเรื่องความเหมือน ยังคิดไม่ออกจริงๆ แต่ถ้าให้ตอบว่าอะไรที่ไม่เหมือนกัน มีเยอะเลยครับ

ถ้าอย่างนั้น ทั้งคู่บาลานซ์ความต่างอย่างไรให้ทำงานด้วยกันได้

คูเปอร์: การไม่เหมือนกันของเรา ไม่ใช่ว่าต่างกันแบบคนละขั้วนะครับ จริงอยู่ที่การใช้ชีวิตของเราในบางเรื่องไม่เหมือนกัน แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับมีอะไรบางอย่างที่ลิงก์กันได้ แล้วก็กลายเป็นว่าอยู่ด้วยกันได้ไปเอง

สถานการณ์แบบไหนหรือเรื่องอะไรที่จะทำให้คูเปอร์กับปอยอ่อนไหวเป็นพิเศษ 

ปอย: น่าจะเป็นคำพูดครับ ถ้าใครที่พูดกับผมแรงๆ ผมจะรู้สึกไม่ค่อย OK! เท่าไหร่ แต่ผมไม่เถียง ได้แต่เก็บเอาไว้มากกว่า

คูเปอร์: :ซึ่งผมสัมผัสได้ (หัวเราะ) ส่วนผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ครับ ต่อให้บางเรื่องไม่ได้เกิดกับเรา แต่เกิดกับคนรอบข้าง เราก็จะรู้สึกไม่ดี อินตาม เป็นอย่างนี้สักพักก็หลุดออกมาเอง

คิดอย่างไรกับเรื่องโซเชียลบูลลี่ในสังคมไทยทุกวันนี้

คูเปอร์: ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก โชคดีที่ผมยังไม่เคยเจอเรื่องนี้นะครับแต่ก็อินกับเรื่องนี้อยู่พอสมควร คิดว่าเรื่องบูลลี่เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้ามันไม่อยู่ในโซเชียล แล้วก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนที่มีต่อเรื่องนั้นด้วย สมมติเราแชร์เรื่องนี้ออกไปแล้วมันตลก เขารู้สึกว่าไม่ซีเรียสก็จะไม่เกิดการบูลลี่ แต่ถ้าเขาไม่ชอบ มีปมกับเรื่องนี้ ก็สามารถกลายเป็นประเด็นบูลลี่ขึ้นมาได้ ผมเคยถามรุ่นพี่ที่เขามีรูปร่างอ้วนคนหนึ่งว่าพี่รู้สึกอย่างไรสมมติมีคนมาเรียกว่าอ้วน เขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาคือคนอ้วน การที่ถูกเรียกแบบนั้นไม่ได้เป็นการเรียกลักษณะรูปร่างมากกว่า แล้วเพื่อนทุกคนก็รักและเล่นกับเขา ดังนั้นคำๆ นี้เลยไม่ได้เข้าไปทำร้ายความรู้สึก มันเลยทำให้ผมคิดกลับไปว่าการที่คนๆ นั้นจะรู้สึกไม่ดีกับคำใดคำหนึ่ง แสดงว่าเขาต้องมีประสบการณ์ไม่ดีต่อคำๆ นั้น ดังนั้นถ้าเราจะทำอะไรทั้งในโซเชียลหรือไม่ใช่ในโซเชียลก็ต้องระวัง คิดให้รอบคอบก่อนเพราะความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญ เป็นไปได้ควรเรียนรู้กันและกันก่อนครับ

ปอย : พี่เปอร์พูดดีมาก ไม่อยากเสริมอะไรเลย ฟังเพลินเลยครับ (หัวเราะ) แต่ผมก็มองว่าโซเชียลบูลลี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวนะครับ เหมือนใครเขาจะพิมพ์อะไรก็ได้ ทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ โชคดีที่ผมยังไม่เคยเจอเรื่องนี้กับตัวครับ

เคยเสิร์ชชื่อตัวเองในกูเกิลไหม

ทั้งคู่: เคยครับ

คูเปอร: สิ่งที่เขาชอบค้นหาในชื่อผมมักเป็นประวัติ เช่น เคยทำอะไรมาบ้าง

ปอย: ปอยจำไม่ได้ว่าแฟนๆ ค้นหาเรื่องไหนในชื่อปอย แต่จะเสิร์ชชื่อตัวเองในกูเกิลบ่อยมาก รู้สึกเห่อน่ะครับ (หัวเราะ) นั่งอ่านแล้วก็นั่งยิ้ม

มีมุมมองอย่างไรกับกระแสคู่จิ้น ซึ่งคูเปอร์และปอย ก็เป็นอีกคู่ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก

คูเปอร์: ผมว่าเป็นเรื่องดีนะครับที่เราได้เป็นคู่ที่ถูกพูดถึง มีแฟนๆ รัก คงน่าจะเป็นเรื่องของเสน่ห์ ไลฟ์สไตล์ บางคู่เขาอาจจะหวานกัน บางคู่ก็จะมีสไตล์เป็นของตัวเอง แต่ของเราจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่น เวลาอยู่ด้วยกัน ผมจะชอบแกล้งหรือแหย่อะไรน้อง แล้วเขาคิดไม่ทัน เลยกลายเป็นว่าโมเมนต์ส่วนใหญ่ของเราจะเป็นแกล้งกัน ซึ่งบางทีเราก็โดนแฟนคลับแกล้งเหมือนกัน (หัวเราะ) เลยเป็นอะไรที่มีความแปลกใหม่ดีครับ

มีมุมมองกับสาววายอย่างไรบ้าง

ทั้งคู่: น่ารักดีครับ

ปอย: ผมว่าความจิ้นกับความฟิน มันเป็นเรื่องทั่วไปเลยนะ

คูเปอร์: ผมมองว่าคำว่าสาววาย มันกว้างมากจนเป็นเรื่องทั่วไปแล้วนะครับ เพราะแม้แต่เราบางทียังเคยรู้สึกเลยว่า เฮ้ย สองคนนี้เวลาอยู่ด้วยกัน สนิทกันแล้วน่ารักดี บวกกับความที่เป็นผู้หญิงด้วยก็เลยจะมีความมุ้งมิ้งเพิ่มเข้าไปด้วยครับ

สำหรับ MY Engineer Season 2 ที่กำลังเตรียมงานกันอยู่ คูเปอร์กับปอยมีอะไรจะสปอยล์บ้างไหม

คูเปอร์: ซีซั่นแรกจะมีความน่ารัก แต่ไม่ค่อยมีพาร์ตดราม่ามาก แล้วเรายังไม่ได้คู่กัน แต่พอคู่กันแล้ว ในซีซั่นนี้ก็จะมีพาร์ตคู่และโตมากขึ้นด้วยครับ

ปอย: ในซีซั่นนี้ตัวละครทุกตัวจะมีความเข้มข้นขึ้น สำหรับบางคู่ที่ยังไม่ลงตัวในซีซั่นแรกจะลงตัวในซีซั่นนี้ครับ ฝากติดตามกันต่อด้วยนะครับ

คูเปอร์:  ช่วงนี้อยากให้รอติดตามเราทั้งคู่นะครับเพราะกำลังจะมีโปรเจ็กต์นอกเหนือจากนี้อีก แต่ตอนนี้ยังติดอะไรบางอยู่เลยยังบอกไม่ได้ ผมเองก็มีโปรเจ็กต์ต่อหลังจากจบเรื่องนี้เหมือนกัน แต่พอมีสถานการณ์  COVID-19 เข้ามา ก็ทำให้ต้องเลื่อนออกไปแล้วดูอีกทีว่าจะเป็นช่วงไหน ยังไงครับ

นายแบบ:  ภัทรพสิษฐ์ ณ สงขลา และ กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช

เสื้อผ้า รองเท้า: Bottega Veneta, Ermenegildo Zegna

สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์

แต่งหน้า-ทำผม: จุฑามาศ วัฒนาวรรณะ

ช่างภาพ: ทินกร วงเบญจศิลป์

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

นักศึกษาฝึกงาน: ภัทราพร เรืองสุขสุด

สถานที่: Quaint  โทร. 02 714 1998

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦