การเริ่มงานในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่อายุ 23 ปี ทำให้ พราว-พราวพุธ ลิปตพัลลภ ผู้บริหารที่พราว กรุ๊ปและกรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ลูกสาวคนเล็กของอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อดังสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มีแต้มต่อในเรื่องประสบการณ์การทำงาน จนถึงวันนี้ในวัย 32 ปีหมาดๆ คุณพราวจับงานในระดับแมกกะโปรเจ็กต์มาแล้ว 8 โครงการ เช่น Bluport Hua Hin รีสอร์ท มอลล์ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คในหัวหิน, โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท, โครงการสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน, อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน, โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท, อันดามันดา อาณาจักรสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต ฯลฯ ซึ่งทุกงานล้วนอะไรใหม่ๆ ให้เรียนรู้ตลอด ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของผู้หญิงเก่งคนนี้ก็ชอบทำอะไรชิลล์ๆ รักการท่องเที่ยว ดำน้ำ และชอบดูซีรีส์อย่าง Game of Thrones เป็นที่สุด วันนี้ OK! จะพาคุณมารู้จักทั้งสองด้านของพราวพุธ ลิปตพัลภ คลื่นลูกใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ผู้ฝันว่าจะสร้างบริษัทให้ยิ่งใหญ่ในระดับต้นๆ ของไทย

คุณพราวเรียนจบปริญญาตรีทางด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการจากออกซ์ฟอร์ด และจบปริญญาโทด้านการบริหารที่ลอนดอน บิสเนส สคูล หมายความว่าสนใจเรื่องธุรกิจมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเลยหรือเปล่า
จริงๆ การทำงานตรงนี้เหมือนจับพลัดจับผลูมากกว่าค่ะ เพราะตอนเด็กๆ เวลามีคนถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร พราวจะตอบลำบากมาก เนื่องจากเป็นคนที่มีความชอบหลากหลาย ไม่มีวิชาที่ชอบที่สุด เพราะชอบทุกวิชา รวมถึงวิชาทางศิลปะด้วย ตอนที่เลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็เลยเลือกเรียนแบบกว้างๆ ไว้ก่อน คือเศรษฐศาสตร์กับบริหาร พอจบแล้วได้มาทำงานต่อที่แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี อิงค์ ไทยแลนด์ (บริษัทที่ปรึกษากลยุทธิ์ทางธุรกิจที่มีชื่อเสียงระดับโลก) ทำอยู่ 2 ปี ตอนนั้นทางคุณย่า (คุณจรัสพิมพ์ ลิปตพัลลภ ) ทำโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท และเพิ่งเปิดได้ประมาณ 3-4 ปี แล้วก็เป็นจังหวะช่วงที่คุยกับคุณแอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช ว่าจะเริ่มทำ Bluport Hua Hin ด้วย พอที่บ้านเริ่มมีการขยายธุรกิจมากขึ้นก็อยากให้มีคนมาดูอย่างจริงจังและพราวก็อยู่เมืองไทยพอดี ก็เลยได้มาทำงานด้านนี้ แต่โครงการที่ดูแลเองทั้งหมดโครงการแรกคือ สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินค่ะ พอทำอีกสักพักก็ได้เจอกับคุณธงชัย บุศราพันธ์ เลยได้ทำพาร์ค 24 ซึ่งเป็นคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน ไปๆ มาๆ นอกจากจะมาดูเรื่องนี้ ก็พบว่าจริงๆ แล้วเราชอบงานอาร์ตด้วย (หัวเราะ) เพราะนอกจากจะต้องดูเรื่องบริหาร การเงิน สิ่งที่ทำยังมีเรื่องการดีไซน์โปรเจ็กต์ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเราสนุกกับตรงนี้มาก แล้วพอมารวมกันก็เลยเหมือนได้ใช้สมองทั้ง 2 ด้านทำงานแต่ละโปรเจ็กต์
ข้อดีของการที่เริ่มต้นตั้งทำงานนี้แต่อายุยังน้อยคืออะไร และมีข้อเสียไหม
การที่เราเริ่มต้นก่อนคนอื่นทำให้มีประสบการณ์มากกว่า ได้ลองผิดลองถูกเยอะกว่าคนอื่น ข้อเสียคือเราได้พบการท้าทายอีกแบบหนึ่ง ยิ่งช่วงเริ่มแรกเป็นอะไรที่ท้าทายมาก อย่างตอนที่ทำสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน พราวไม่เคยดูเรื่องก่อสร้าง ไม่มีความรู้ทางด้านนี้มาก่อน วันแรกที่เดินเข้าไปประชุมซึ่งมีคนประมาณ 30 คน ประกอบไปด้วย หัวหน้าช่าง คนคุมทีมซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดเลย อายุเฉลี่ยประมาณ 45-50 ปี ทำให้เรารู้สึกท้าทายมาก โชคดีที่มีทีมที่ปรึกษาที่เปิดโอกาสให้ได้ถามในสิ่งที่ไม่รู้ อีกเรื่องคือความเชื่อมั่นในตัวเองที่มีอยู่ในตัวเราก็ช่วยได้และทำให้โปรเจ็กต์นั้นผ่านไปได้ค่ะ
คุณพราวเลือกทำธุรกิจในเมืองท่องเที่ยวหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นหัวหิน ภูเก็ต ห่วงไหมว่าพอมีเรื่องธุรกิจเข้ามามากจนเกินไปจะทำให้ความเป็นเมืองนั้นๆ เปลี่ยนไป
เสน่ห์ของหัวหินคือเมืองเล็กๆ มีความเงียบสงบ ส่วนตัวพราวมองว่าต่อให้มีการลงทุนที่หัวหินมากขึ้น มีเรื่องรถไฟความเร็วสูงเข้ามา หัวหินจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม สาเหตุคือกายภาพของเมืองหัวหินไม่มีที่ดินให้พัฒนาแล้ว ถ้าไล่กันมาตั้งแต่วังไกลกังวลไปจนถึงเขาตะเกียบ ที่ดินที่ยังว่างอยู่และพัฒนาได้เรียกว่าไม่เหลือแล้ว ดังนั้นต่อให้มีความเจริญอะไรเข้ามาแล้วจะทำให้หัวหินเปลี่ยนไปเยอะจากที่เรารู้จักกันจึงเป็นไปได้ยาก ในทางกลับกันก็ทำให้ราคาที่ดินที่นั่นขยับขึ้นไปอีกเยอะ ตรงนี้เลยเป็นทำเลที่เหมาะกับการซื้อเก็บ หรือลงทุนในระยะยาว แต่อาจมีการขยายเมืองลงไปทางทางปราณบุรี ประจวบฯ เยอะขึ้น ส่วนภูเก็ต สัญลักษณ์ของที่นี่คือความเป็นเกาะ เวลาไปภูเก็ตเขาไม่ได้ลงแค่เกาะภูเก็ตอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงหมู่เกาะอันดามันด้วย ซึ่งเกาะพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่สามารถไปพัฒนาได้ครบ ยกเว้น เกาะพีพีที่สามารถเข้าไปได้ ถึงจะมีการพัฒนาเข้าไปอย่างไร ภาพรวมในการท่องเที่ยวของเมืองไทยยังไงก็ยังอยู่ค่ะ

ทุกโปรเจ็กต์ที่ทำผ่านกระบวนการทางความคิดมาอย่างดี นอกจากตัวเองแล้ว ยังมีใครคอยให้คำปรึกษาอีกหรือเปล่า
คนในครอบครัวทั้งหมดค่ะ แต่ถ้าถามถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจของเราจริงๆ ก็คือคุณย่า เรียกได้ว่าท่านเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งที่พราวรู้จัก ถ้าย้อนกลับไปก่อนจะมาเป็นบริษัทประยูรวิศว์ (บริษัทก่อสร้างที่เก่าแก่ในประเทศไทย) เริ่มมาจากคุณปู่กับคุณย่าได้เรือแจวคุณทวดมา 1 ลำตอนแต่งงานกัน คุณปู่จบป. 6 คุณย่าจบป.4 ท่านทั้ง 2 เริ่มจากไปขุดทราย โดยคุณปู่ดำน้ำลงไปขุดทรายใต้แม่น้ำโยนขึ้นมาบนเรือ แล้วให้คุณย่าที่อยู่บนเรือเป็นคนที่คอยกรองทราย ท่านสร้างตัวจากตรงนั้น แล้วเรือก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ขุดเองก็เริ่มจ้างคนอื่น แล้วเขยิบมาเป็นคนขนส่งมาขายต่อ จนกลายมาเป็นบริษัทประยูรวิศว์ที่เรารู้จัก คุณย่าจึงเหมือนเป็นแรงบันดาลใจสำคัญและเป็นเหมือนแรงผลักดันให้กับเราว่า ไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหน ก็ต้องทำต่อให้ได้ คนต่อมาคือคุณพ่อ ท่านเป็นคนหนึ่งที่ทำให้พราวสนใจทำงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวค่ะ ด้วยความที่คุณพ่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองมานาน ทำให้ก็มองเห็นภาพใหญ่และแผนพัฒนาประเทศค่อนข้างชัดว่าไม่ว่าอย่างไรประเทศไทยก็อยู่คู่กับการท่องเที่ยวไปอีกนาน ด้วยเซอร์วิสมายด์ของเราที่เหมาะกับการให้บริการมาก แล้วก็ยังเรื่องของประเพณี วัฒนธรรม อาหาร ก็มีเสน่ห์ชัดเจน มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงเมืองท่องเที่ยวก็มีหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ หัวหิน พัทยา ภูเก็ต ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีเมืองรองให้พัฒนากันอีกมาก ดังนั้นเรายังทำในเรื่องการท่องเที่ยวไปได้อีกเรื่อยๆ เพียงแต่จะกระจายไปเมืองไหนมากกว่า อีกคนคือคุณแม่ (พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) ท่านเป็นที่ปรึกษาได้ในทุกๆ เรื่อง เป็นผู้หญิงเก่งอีกคนหนึ่ง เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน และเป็นสว. ในขณะเดียวกันท่านก็บาลานซ์ได้ดี เพราะภาพจำของเราตั้งแต่วัยเด็กคือคุณแม่เป็นคนที่ดูแลเราทุกอย่าง ส่วนพี่ชาย (คุณหลวง-พสุ ลิปพัลลภ) จริงๆ เราก็มีกันอยู่ 2 คน ทำให้เขาเป็นคนที่เราสนิทที่สุดคนหนึ่ง แต่ตอนเด็กๆ ทะเลาะกันทุกวัน พราวร้องไห้ตลอด นิสัยเรา 2 คนจะเป็นคนละขั้ว คือพราวจะเป็นเด็กเรียน แต่เขาจะเป็นเฮ้วๆ หน่อย บางทีก็หยิบการบ้านเราไปซ่อน หรือบาร์บี้เราไปตัดผม แต่พอไปเรียนที่อังกฤษ เขากลายเป็นพี่ชายที่ดูแลเราจริงๆ เพราะตอนนั้นมีกันแค่ 2 คนพี่น้องส่วน พ่อแม่ก็อยู่ไทย ตอนนี้เราก็ทำงานที่เดียวกันและเป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องหวงพี่หลวงก็หวงพราวบ้าง แต่ตอนเด็กๆ เขาจะหวงมากกว่า อย่าง ตอนที่อยู่อังกฤษ เขาต้องดูแลเราแทนพ่อแม่ ดังนั้น ถ้ามีใครมาจีบ พี่หลวงจะพาคนนั้นไปคุยก่อนเลยว่าต้องการอะไร (ในขณะเดียวกัน น้องสาวช่วยสแกนสาวๆ ให้พี่ชายบ้างไหม ) มีการคุยกันบ้างค่ะ พราวมองว่าคนที่จะมาเป็นเขยหรือสะใภ้เป็นเรื่องสำคัญ เราโตมากับพี่ รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร และคนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา ก็อยากได้คนที่ดี เรียกว่าเราช่วยกันเลือกซึ่งกันและกันมากกว่า
นอกจากคุณพสุจะหวงน้องสาวแล้ว คุณพ่อหวงคุณพราวไหม
หวงค่ะ เพราะเราเป็นลูกสาวคนเดียว (หัวเราะ) อย่างตอนที่เรียนโรงเรียนจิตรลดา ก็จะมีเพื่อนมาที่บ้านเป็นกลุ่มใหญ่สัก 10 คน อาจจะมีเพื่อนผู้ชายอยู่ในนั้น 2-3 คน ก็จะได้รับความสนใจจากคุณพ่อเป็นพิเศษนิดหนึ่ง อาจจะมีการมองอย่างใกล้ชิดหน่อย แต่พอมาหลายๆ รอบเห็นว่าไม่มีอะไร เขาก็ไม่มีอะไรค่ะ

ตอนคุณพ่อดำรงตำแหน่งทางการเมือง คุณพราวเคยช่วยท่านหาเสียงไหม
เคยค่ะ แต่เท่าที่จำได้คือเด็กมาก ตอนนั้นเราขึ้นรถปราศรัย ขึ้นเวทีปราศรัยกับคุณพ่อ พราวน่าจะอายุสัก 7-8 ขวบได้ แต่พอโตขึ้นมาก็ไม่ค่อยได้ไป เพราะหลังๆ คุณพ่อก็มาเป็นปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ได้ลงส.ส. เขต หรือบางทีเราก็อยู่เมืองนอก (แล้วสนใจอยากลงเล่นการเมืองหรือเปล่า) ไม่เคยคิดอย่างแน่นอนค่ะ พราวมองว่าคนทำงานการเมืองต้องมีการเสียสละความสุขส่วนตัวสูงมาก อย่างเราทำงานบริษัท เสาร์-อาทิตย์คือเวลาพักผ่อน หรือวันธรรมดา หลัง 18.00 น. เราก็ปิดคอมพิวเตอร์ แต่สำหรับคุณพ่อ ช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอะไรก็แล้วแต่ งานกระทรวงก็มี พอตกเย็น หรือช่วงเสาร์-อาทิตย์ก็ลงพื้นที่ แล้วคนเป็น ส.ส.ก็ต้องใกล้ชิดกับพื้นที่ เลยต้องไปทั้งงานบวช งานแต่ง งานศพ งานเปิดนู่นนี่ เต็มไปหมด ช่วงนั้นคุณพ่อไม่มีเวลาพักเลย อาทิตย์หนึ่งมี 7 วัน ก็ทำงานยาวตลอด ซึ่งพราวไม่น่าจะทำได้
การที่คุณพราวเป็นทายาทนักการเมืองทำให้มีแต้มต่อในเรื่องไหน ในทางกลับกันทำให้ต้องพิสูจน์ตัวเองในเรื่องไหน
ในเรื่องแต้มต่อก็มีบ้าง อย่างน้อยคือเรื่องการรู้จักคนเยอะ รู้จักนักธุรกิจคนอื่นๆ เพราะคุณพ่อเป็นคนกว้างขวาง แล้วเขาก็มองเกมขาดในเรื่องภาพรวม แนวทางพัฒนาประเทศในระยะยาวว่าจะไปในทิศทางไหน ในทางกลับกันที่เรียกว่าเป็นข้อเสียคือเราต้องระวังตัวมากกว่าคนอื่น การทำโครงการต่างๆ ต้องระวังมาก และทำตามกฎระเบียบแบบร้อยเปอร์เซนต์ หรืออาจจะเกินกว่านั้น เพราะอาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็ง ส่วนถ้าเป็นเรื่องของตัวเองเลยคือ การเป็นลูกคุณพ่อทำให้เราอยากพิสูจน์ตัวเองเยอะกว่าคนอื่น โตขึ้นมาแล้วก็เริ่มปลงในระดับหนึ่ง คนเขาจะพูด จะคิดอะไร ห้ามเขาไม่ได้หรอกค่ะ แต่ที่สำคัญคือความจริงที่เรารู้อยู่กับตัวเองแหละว่าที่มาที่ไปหลายๆ อย่างเป็นอย่างไร และสุดท้ายก็อยู่ที่ผลงานที่ออกมา
ถ้าอย่างนั้นเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าตอนเด็กๆ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร
เราไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ค่ะ พ่อแม่ไม่ได้ให้ทุกอย่างฟรีๆ ตอนเด็กๆ พราวได้ค่าขนม 10-20 บาทไปโรงเรียน แต่ถ้าเราอยากได้มากกว่านั้นต้องตั้งใจเรียนค่ะ เพราะคุณปู่ คุณย่าก็จะมีแพคเกจว่า ถ้าเรียนได้เกรดสี่ จะได้รางวัลวิชาละเท่าไหร่ บางทีก็ได้ตัวละ 100 บาท ถ้าได้เกรด 3 ราคาก็จะลดลงมานิดหนึ่ง เลยมีกำลังใจว่าเราต้องตั้งใจเต็มที่ จะได้ได้รางวัล พอโตขึ้นมาไปเรียนที่อังกฤษ พราวต้องกลับมาทุกปิดเทอมเพราะคุณพ่อ คุณแม่ ไม่อยากให้ห่างบ้าน ยังอยากให้เราพูด เขียนภาษาไทยได้ รวมถึงใกล้ชิดประเทศไทยเหมือนเดิม ไม่ใช่ไปนานจนบ้านกลายเป็นที่อังกฤษ พอกลับมาก็จะไปฝึกงาน เขาจะไม่ให้เราอยู่เฉยๆ (เริ่มมีบัตรเครดิตตอนไหนคะ) พราวมีบัตรเครดิตตอนทำงานค่ะ สมัครด้วยตัวเอง พ่อกับแม่ไม่เคยให้บัตรเสริมเราเลย ตอนเรียนที่อังกฤษเราจะได้เงินมาก้อนหนึ่ง แล้วไปจัดการกันเอง ถ้าเหลือก็เหลือ ถ้าไม่เหลือก็อด แต่ไม่เคยอดค่ะ เพราะพราวกับพี่หลวงจะเก็บเงินเผื่อไว้ใช้มากกว่า

คนที่งานยุ่งอย่างคุณพราวมีการเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตอย่างไรบ้าง
ความโชคดีอย่างแรกคือเราชอบงานที่เราทำ อย่างที่สองคือเราทำงานเกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวก็เลยเหมือนมีข้ออ้างที่จะไปเที่ยวได้เพื่อไปหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ งานที่พราวทำไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร แต่เป็นการวิ่งมาราธอน ดังนั้นทุกอย่างจะต้องเป็นความพอดีในระดับหนึ่ง ถ้าเราวิ่งแบบอัดเต็มที่เราจะเหนื่อยเร็วและหมดแรงก่อนถึงเส้นชัย ดังนั้น Work Life Balance จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพราว เมื่อก่อนช่วงเสาร์-อาทิตย์ เราจะไม่ยุ่งกับงานเลย แต่หลังๆ ก็เริ่มแทรกซึมเข้ามาในชีวิตแล้ว (หัวเราะ) ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น สมมติเดินทางไปต่างประเทศแล้วไปเห็นอะไรบางอย่างที่น่าจะช่วยทำให้งานตรงนี้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ก็ถ่ายรูปแล้วส่งมาสั่งงานลูกน้อง เรื่องนี้เลยมองได้ 2 อย่าง คือการทำงานเริ่มแทรกซึมเข้ามาในช่วงเวลาพักผ่อนก็ได้ แต่ถ้าเราชอบ สนุกกับมัน เวลาคิดอะไรไม่ออกแล้วนึกออกหรือเห็นวิธีแก้ก็อยากกลับมารีบทำตรงนี้ต่อ
คิดว่าสิ่งที่เรามี ทั้งเรื่องครอบครัวและยังเป็นผู้หญิงทำงาน ทำให้เรากลายเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายเข้าถึงยากไหม
ไม่หรอกค่ะ เพียงแต่คนที่เข้ามาต้องชื่นชอบในความสามารถของเรา แต่การที่เขาจะมาคาดหวังว่าเราจะเป็นแม่บ้าน ทำอาหารก็คงทำไม่ได้ แต่ถ้ามีเรื่องอื่นให้ช่วยคิด เราน่าจะช่วยเขาได้
ที่ผ่านมา หนุ่มๆ ที่จะเข้ามาทำความรู้จักกับคุณพราวจะเข้ามาในรูปแบบไหน
ส่วนใหญ่จะมาจากคนรู้จักมากกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีคนกล้าเข้ามาจีบแบบเดินเข้ามาหาเลยเท่าไหร่ เขาอาจจะกลัว (หัวเราะ) สเปกของพราวเด็กๆ จะมีเยอะ เช่น ชอบผู้ชายสูง 180 ซ.ม. แต่ตอนนี้สำคัญที่สุดคืออยากให้เขารับความเป็นเราได้ เพราะทำงานเยอะ เวลาที่มีให้เลยจะไม่ค่อยมากและมีความชอบในเรื่องไลฟ์สไตล์คล้ายกัน เช่นชอบดำน้ำเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นบาลานซ์ที่ดี เพราะเป็นการเปิดโลกที่คู่ขนานไปกับการทำงาน (ตอนนี้มีแฟนหรือยัง) ยังเลยค่ะ (หัวเราะ)

คุณพราวมีนักแสดงที่รู้สึกชื่นชอบบ้างไหม
มีนะคะ ตอนนี้ชอบฮยอนบิน จากเรื่อง Crash Landing On You แต่ยังดูไม่จบเลย (หัวเราะ) เราก็มีเวลาดูบ้าง เวลากลับบ้านไป ก่อนนอนจะต้องดูทีวีสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเราจะคิดถึงแต่เรื่องงาน ซึ่งพราวว่าเราต้องเบรกบ้าง อย่างตอนที่มี Game of Thrones พราวดูพร้อมๆ กับที่ต่างประเทศเลย ซึ่งถ้าเทียบเวลาไทยก็คือตอน 8.00 น. ไม่อย่างนั้นจะเจอสปอยล์ในเฟซบุ๊ค คือนอกเวลางานพราวจะเป็นคนสบายๆ บางวันไม่แต่งหน้าเลย พราวจะอาศัยทำทิ้นต์ที่คิ้วและต่อขนตาแค่นั้น บางวันก็อยู่ในชุดออกกำลังกายทั้งวัน
คุณพราวทำงานในพราวกรุ๊ป มาจนถึงวันนี้เกือบ 10 ปีแล้ว ตั้งเป้าหมายไว้ไหมว่าอยากจะให้สิ่งที่ตัวเองสร้างมาไปถึงจุดไหน แล้วตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองไว้อย่างไรบ้าง
อยากให้บริษัทเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ของประเทศไทย แต่ถามว่าจะเกิดขึ้นภายในอีกกี่ปี พราวก็ไม่ได้เซ็ทไว้ชัดขนาดนั้น ปีนี้เราก็มีแผนวางไว้แล้วว่าจะมีงานอะไร ส่วนถ้าเป็นเรื่องของตัวเองก็เป็นปณิธานปีใหม่ที่ตั้งใจจะทำให้ได้ในปีนี้ คืออยากไปนั่งสมาธิค่ะ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เคยไปมา 7 วัน หลังจากนั้นก็ตั้งใจมากกว่าจะกลับไปอีก แต่ยังไม่ได้กลับไปเลย (หัวเราะ) ตั้งใจจะนั่งสมาธิเองให้ได้ ก็ยังไปไม่ถึงไหน แล้วอีกเรื่องคือพราวไปเจอไกด์บุ๊คเรื่อง Face Yoga กำลังจะทำตามที่เขาแนะนำ คือคนที่เขียนเป็นคนญี่ปุ่น เขาเล่าว่ามีช่วงหนึ่งตอนอายุประมาณ 30 ปลายๆ เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนตร์ ทำให้หน้าทั้ง 2 ข้างของเขาไม่เท่ากัน แต่ด้วยความที่เล่นโยคะ เลยคิดว่าการเล่นโยคะเป็นการทำให้กล้ามเนื้อลึกๆ ด้านในแข็งแรง ทำไมเราจะทำอย่างนั้นกับหน้าคนไม่ได้ เพียงแต่ที่หน้าเราจะเป็นกล้ามเนื้อที่เล็กกว่าหน่อย เลยเริ่มคิดหาวิธีโยคะหน้าขึ้นมา จากหน้าที่ไม่เท่ากันก็กลับมาบานลานซ์ได้ แล้วยังดูเด็กขึ้นด้วย ใช้เวลาวันละ 5 นาทีเท่านั้น เขายังบอกอีกว่าวิธีนี้ทำให้เราไม่ต้องไปโบท็อกซ์เลยด้วยค่ะ
คุณพราวเป็นคนมีคำตอบให้กับตัวเองในทุกๆ เรื่อง แล้วเคยคิดเล่นๆ ไหมว่าอยากแต่งงานตอนอายุเท่าไร
ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย (หัวเราะ) อาจเป็นเพราะพราวมองว่าเราไม่จำเป็นต้องมีลูกด้วย คือพอไม่คิดจะมีลูก เลยไม่ต้องมากดดันตัวเองว่าจะต้องแต่งงานตอนอายุเท่าไร พราวคิดว่าการที่เราจะตัดสินใจแต่งงาน ร่วมชีวิตกับใครสักคน ไม่ควรคิดมาจากเรื่องที่อยากมีลูก แล้วก็เอาเวลามาบีบรัดเรา แต่ควรจะเริ่มมาจากความรู้สึกที่ว่า อยากจะอยู่กับคนๆ นี้ไปตลอดชีวิตจริงๆ มากกว่าค่ะ

[Credit]
OK! ISSUE 323