
Malasaña ในกรุงมาดริค ประเทศเสปน มีเรื่องเล่ามากมาย จนถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนที่ต้องคำสาปมากกว่า 100 ปี โดยเฉพาะบนถนนถนน อัลโตนิโอ กริโล ถนนสายเล็กๆในมาดริดที่ชาวฝรั่งเศสอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานรกรากหลังจากสเปนเปิดพรมแดนในปี 1945ซึ่งส่งผลให้ถนนสายนี้ในย่าน Malasaña กลายเป็น แหล่งการค้าขนาดใหญ่ แต่กลับเสื่อมโทรมลงด้วยคดีอาชญากรรมมากมาย รวมไปถึงคดีฆาตกรรมสุดโหดหลายร้อยคดี คดีฆาตกรต่อเนื่อง และยังรวมไปถึงสุสานทารกจำนวน 9 แห่งและศพทารกมากกว่าร้อยศพของคลินิคทำแท้งในช่วงสงคราม ถนนเส้นนี้จึงกลายเป็นถนนที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดต่อตารางเมตรในกรุงมาดริค นอกจากนี้ ถนน อัลโตนิโอ กริโล ยังเต็มไปด้วยการคอรัปชั่นและการข่มเหงจากกลุ่มการปกครอง ที่ส่งผลให้ถนนสายนี้กลายเป็นถนนแห่งอำนาจสีดำ
คดีปริศนาความเป็นมาของ “ถนนแห่งความตาย”
คดีที่หนึ่ง: สารกัดกร่อน
ในปี 1909 Ramona Díaz Castillo หญิงสาวอัมพาตอายุ 50 ปี เธออาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์หมายเลขสามบนถนน อัลโตนิโอ กริโล ย่าน Malasaña ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความริษยา อาฆาต หลังจากที่สามีของเธอขอจบชีวิตคู่และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้หญิงสาวสวย เธอจึงสาดกรดกำมะถัน หรือกรดซัลฟิวริกใส่คนรักใหม่ของสามีเธอ สารทำลายผิวหนังและกัดกร่อนผิวหนัง จนเกิดความน่ากลัวสยดสยองแก่ผู้พบเห็น
คดีที่สอง: คดีฆาตกรรมช่างตัดเสื้อ
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 1945มีคนพบศพ Felipe de la Braña Marcos ช่างตัดเสื้อฝีมือดี สภาพเขาสวมเสื้อแจ็คเก็ตและกางเกงขายาวอยู่บนเตียง ศรีษะเต็มไปด้วยเลือดพิงบนผนัง ในมือข้างหนึ่งของเขามีกระจุกผมกำแน่นอยู่ นสพ.รายงานข่าวว่าเขาไม่ได้ถูกฆาตกรรมด้วยมีดหรือปืน แต่สันนิษฐานว่าถูกฆ่าตายด้วยค้อนหรือกระบอง สิ่งที่แปลกคือเขาอาศัยอยู่ใน อพาร์ทเมนท์หมายเลขสาม เพียงลำพัง ประตูปิดตายจากข้างใน และจากหลักฐานกระจุกผมในมือของศพ แสดงถึงการต่อสู้ เอาชีวิตรอด แต่สภาพห้องกลับไร้ร่องรอยการต่อสู้ และที่น่าขนลุกคือ หลังจากเหตุการณ์นี้สามปี กลับมีการพบศพชายคนหนึ่งในตำแหน่งและลักษณะการตายเช่นเดียวกับ Felipe ทุกประการ
คดีที่สาม: วิปริตฆาตกรรมหมู่
17 ปีต่อมา เช้าวันที่ 1 พฤษภาคม 1962 ช่างตัดเสื้อ José María Ruiz Martínez อายุ 48 ปี เขาและครอบครัวอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์หมายเลขสาม ชั้น 3 ประตู D ช่างตัดเสื้อได้ลงมือสังหารหมู่ Dolores Bermúdez Fernández ภรรยาวัย 40 ปี และ Juan Carlos, Adela, Susana, Dolores และ José อายุ 14,12,10, 5 และ 2 ปี ลูกทั้งห้าของเขาทีละคน ด้วยค้อน ปืนและมีดทำครัว จากนั้นก็อุ้มศพลูกของเขาสามคนไปที่ระเบียงและตะโกนว่า “ฉันคือฆาตกร” “ฉันรักพวกเขามาก” “ฉันฆ่าพวกเขาทั้งหมด” “และพวกเขาจะอยู่ที่นี่” ก่อนที่เขาจะยิงตัวตายตำรวจได้พาบาทหลวงจากวิหารเซนตาเทเรซา เพื่อเกลี้ยกล่อมจากด้านนอกอาคาร แต่กลับไม่เป็นผล เขาตะโกนกลับออกไปว่า “พระเจ้าไม่เคยรับพวกเขาเข้าบัญชี” ก่อนที่เขาจะใช้ปืนปลิดชีพตัวเองท่ามกลางสายตาประชาชน แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอาจจะไม่ใช่การฆาตกรรมครั้งนี้ หากแต่เป็นเหตุผลในการตัดสินใจที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำของสังคมในยุคนั้น และหนี้สินที่อาจจะทำให้เขาและครอบครัวต้องอพยพจากบ้านหลังเดิม
คดีที่สื่: ศพเด็ก
สองปีต่อมา 10 เมษายน 1964 คดีที่ต้องทำให้ชาวมาดริคตกใจอีกครั้ง เมื่อ Pilar Agustín Jimeno หญิงสาววัย 20 ปี อาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่งของอพาร์ทเมนท์หมายเลขสาม เธอแอบคลอดลูกเองที่บ้านและตัดสินใจฆาตกรรมลูกของตัวเองด้วยการกดน้ำ เพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด ความอับอายและการถูกปฎิเสธจากสังคมในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว และเธอห่อศพทารกด้วยผ้าและซ่อนมันไว้ใต้ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง สองวันถัดมาพี่สาวของเธอได้กลิ่นและพบศพเด็กทารกที่ซ่อนไว้ คดีนี้ถือเป็นคดีอื้อฉาว Pilar Agustín Jimeno โดนชาวบ้านรุมประนามสาปแช่งมากที่สุดในยุคสมัยนั้น
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ถนนแห่งความตาย ดินแดนต้องคำสาป ในย่าน Malasaña แต่หากลองสังเกตุให้ดีว่า เรื่องราวสุดสยองที่เกิดขึ้นมากมายนั้น มีจุดเชื่อมโยงเดียวกัน นั่นก็คือ “อพาร์ทเมนท์หมายเลขสาม” ไม่มีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุ ปริศนานี้ยังคงไม่มีคำตอบ แต่อย่างน้อยถนนสายนี้ก็ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นจุดดำมืดในประวัติศาสตร์ของประเทศสเปนไปแล้ว
จากเรื่องจริงบนถนนแห่งความตาย สู่ปรากฏการณ์ฝันร้ายบนโลกภาพยนตร์
ปลายเดือนมิถุนายนนี้ เตรียมพิสูจน์ความเฮี้ยน จากความน่ากลัวสู่ภาพยนตร์ 32 Malasana Street ภาพยนตร์สยองขวัญแห่งปีจากสเปน ที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นบนถนนแห่งความตาย ในย่าน Malasaña ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความบ้าคลั่งของบ้าน ผ่านเรื่องราวของ ครอบครัวอัลเมโด้ ที่เพิ่งย้ายจากชนบท เข้ามายังบ้านใหม่ เลขที่ 32 ในย่าน Malasaña กรุงมาดริด พวกเขาทุกคนตื่นเต้นที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ท่ามกลางช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของประเทศสเปน แต่มีสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ บ้านหลังนี้มีบางอย่างแถมมาด้วย ซึ่งมันไม่ต้อนรับผู้มาเยือนหน้าไหนทั้งนั้น มันพร้อมเปลี่ยนการเริ่มต้นครั้งใหม่เป็นฝันร้ายที่ไม่มีทางลบเลือน
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
Website : www.okmagazine-thai.com
Instagram : www.instagram.com/okmagazinethailand
Facebook : www.facebook.com/okmagthailand
Twitter : twitter.com/okthailand
Comments
comments