เมแทบอลิซึมคืออะไร? สำคัญกับพวกเราอย่างไร?

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจในสุขภาพหรือกำลังมองหาวิธีที่จะช่วยให้รูปร่างของคุณคงที่อยู่ละก็ คุณคงเริ่มหาข้อมูลที้เกี่ยวข้องมาบ้างแล้ว และแน่นอนว่าหลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘ระบบการเผาผลาญ/เมแทบอลิซึม’ กันมาบ้างแล้ว แต่ทว่าความหมายของเมแทบอลิซึม (Metabolism) และระบบเผาผลาญนั้นมันคือความหมายเดียวกันหรือไม่? แล้วทั้งสองคำนี้เกี่ยวข้องกับการปรับรูปร่างอย่างไร? หรือแม้แต่มันเกี่ยวข้องกับมนุษย์เราจริงหรือ? ซึ่งวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ 

ทำความเข้าใจ ‘เมแทบอลิซึม’ มันคือระบบเผาผลาญใช่หรือไม่?

เมแทบอลิซึม (Metabolism) คือ กระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นจริงในร่างกายของสิ่งมีชีวิต โดยเกิดเป็นกระบวนการ 2 กระบวนการติดต่อกัน นั่นก็คือ การสลายสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน เช่น ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผลไม้ หรือผักต่าง ๆ ด้วยวิธีการสลายสารอาหารเหล่านี้ให้ขนาดของโมเลกุลเล็กลง ยกตัวอย่างเช่น การสลายสารอาหารในข้าว (คาร์โบไฮเดรต) ไปเป็นน้ำตาลชนิดกลูโคส เป็นต้น ซึ่งกระบวนการแรกนี้เรียกว่า แคทาบอลิซึม (Catabolism) 

จากนั้นร่างกายของเราจะนำโมเลกุลขนาดเล็กที่ได้จากการย่อยสารอาหารเหล่านี้ไปใช้งานต่อไป ซึ่งหากร่างกายนำเอาสารอาหารเหล่านี้ไปสร้างเป็นพลังงานที่เอาไว้ใชในชีวิตประจำวันหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ เราจะเรียกกระบวนการที่สองนี้ว่า แอนาบอลิซึม (Anabolism) แต่ถ้าปริมาณสารอาหารที่เราได้รับต่อวันนั้นมีมากเกินกว่าที่ร่างกายจำเป็นต้องเอาไปใช้งาน ร่างกายของเราจะสะสมพลังงานเหล่านี้ไว้ใช้ในยามจำเป็นในรูปของไขมันแทนนั่นเอง

ดังนั้นจะให้พูดง่ายๆ ก็คือเมแทบอลิซึมคือระบบเผาผลาญนั่นเอง เพราะจาก 2 ขั้นตอนที่เกิดขึ้นเมื่อเรารับประทานอาหาร ก็คือการนำอาหารที่รับประทานเข้าไปย่อยให้อยู่ในขนาดที่เล็กลง แล้วนำเอาโมเลกุลขนาดเล็กเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างพลังงานให้กับร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่อไปนั่นเอง มันคือรักษาสมดุลให้กับร่างกายของเรา แปลว่าถ้าเรากินในปริมาณที่พอเหมาะ เราก็จะมีระบบเผาผลาญที่สมดุลนั่นเอง

ความสำคัญของเมแทบอลิซึมต่อสิ่งมีชีวิต

metabolism

ตามที่ได้อธิบายความหมายของเมแทบอลิซึมไปข้างต้นแล้ว เพื่อนๆ น่าจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกายของเรามากขึ้นแล้ว คำถามคือแล้วระบบนี้สำคัญขนาดไหนต่อสิ่งมีชีวิตหรือ? คำตอบคือสำคัญมากค่ะ เพราะเรียกง่ายๆ ก็คือ ระบบนี้เป็นระบบที่ช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกายของพวกเรานั่นเอง เพราะไม่ว่าเราจะกินอะไรเข้าไปก็ตาม ร่างกายของเราจะมีการพิจารณาว่าสามารถนำเอาสารอาหารใดไปใช้ได้บ้าง และแน่นอนว่าถ้ามีมากจนเกินความจำเป็น ร่างกายเราก็จะเก็บรักษาสารอาหารเอาไว้ในรูปของไขมันนั่นเอง 

หากร่างกายของเรามีอัตราการเผาผลาญที่ลดต่ำลงหรือขาดหายไป อาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตมีสารอาหารอยู่ในร่างกายในปริมาณที่มากจนเกินไป โดยที่ไม่สามารถนำเอาสารอาหารเหล่านี้เปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือประชากรส่วนใหญ่คงจะตัวใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นเอง ถ้าเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ที่เมื่อคนเราอายุมากขึ้นจะมีอัตราการเกิดเมแทบอลิซึมที่ลดต่ำลง? 

หากอัตราการเกิดเมแทบอลิซึมลดต่ำลงจะส่งผลต่อเราอย่างไรบ้าง

หลายคนคงเคยได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าหากเราอายุมากขึ้นระบบเผาผลาญจะแย่ลงหรืออัตราการเกิดเมแทบอลิซึมจะลดต่ำลงไปโดยปริยาย คำถามคือมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? 

นักชีววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของมนุษย์ได้ทำการศึกษาและเปรียบเทียบมนุษย์ในวัยตั้งแต่ 8 วัน ถึง 95 ปี โดยงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Science ฉบับเดือนสิงหาคม 2021 ซึ่งพบว่าแท้จริงแล้วอัตราการเกิดเมแทบอลิซึมไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหากคุณมีอายุมากขึ้น เพราะช่วงวัย 20-60 ปี ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการนี้แต่อย่างใด 

แต่สิ่งที่ทำให้คนที่มีอายุมากขึ้นมีน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น น่าจะเป็นเพราะการสูญเสียปริมาณกล้ามเนื้อ (muscle mass) ไปต่างหาก และด้วยปริมาณฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป การทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ลดต่ำลง ตลอดจนการรับประทานอาหารที่มากเกินจำเป็น สิ่งเหล่านี้มีโอกาสที่จะเป็นเหตุผลของการมีน้ำหนักที่มากขึ้นด้วย

วิธีการรักษาอัตราการเกิดเมแทบอลิซึมทำได้อย่างไรบ้าง?

เชื่อว่าหลายคนที่มีอายุเกิน 30 ปี (อย่างเช่นผู้เขียน) คงเกิดคำถามขึ้นมาบ้างแล้วว่า แล้วทีนี้จะทำอย่างไรให้ระบบเผาผลาญของเรายังคงทำงานได้ดีอยู่ล่ะ? เป็นคำถามที่พวกเราทุกคนถามซ้ำไปมาและคำตอบก็คงเป็นอย่างเดิมอยู่เสมอ นั่นคือ การควบคุมและดูแลรูปแบบการใช้ชีวิตในประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารให้ครบทั้งห้าหมู่ โดยเน้นที่โปรตีนและวิตามินเป็นหลัก เช่น หากคุณชอบผัดกระเพรา คุณสามารถเลือกทานผผัดกระเพราที่มีเนื้อสัตว์มากกว่าปกติและทานข้าวให้น้อยลง เป็นต้น 

การควบคุมอาหารคือปัจจัยสำคัญของกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์เรา ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก การรักษารูปร่าง หรือแม้แต่การเพิ่มหรือคงระบบเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบจากการเลือกอาหารเข้าไปรับประทานทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าคุณต้องการลดน้ำหนัก คุณก็เพียงแค่ทานแป้งและไขมันในปริมาณที่น้อยลง และออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นควบคู่ไปด้วย เพียงเท่านี้น้ำหนักของคุณก็จะลดลงแล้วค่ะ

แต่ทว่าคุณต้องการสร้างซิกซ์แพ็กหรือกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายให้ดูแข็งแรงและได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น จากที่คุณต้องลดอาหารจำพวกแป้งและไขมัน คุณก็แค่เพิ่มการรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนที่จะสามารถช่วยสนับสนุนการสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น และออกกำลังกายชนิดเพิ่มน้ำหนักหรือเวทเทรนนิ่งให้มากขึ้น เพียงเท่านี้คุณก็จะมีหุ่นที่สวยแล้ว

ฟังดูผิวเผินเหมือนจะง่าย แต่สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ หากคุณตั้งใจแล้วคุณก็จะได้ผลลัพธ์ตามที่คุณต้องการ! และนี่อาจะเป็นสิ่งที่สามารถช่วยคุณได้

  • รับประทานอาหารให้เป็นเวลาและทานอาหารในปริมาณที่น้อยแต่บ่อยขึ้น เพื่อลดการเผาผลาญในอัตราที่ช้าลงหากคุณรับประทานอาหารในปริมาณที่มาก และแทนที่จะได้สารอาหารตามที่เรารับประทานเข้าไปจริง ๆ ท้ายที่สุดหากมีมากจนเกินไปร่างกายจะเปลี่ยนรูปจากสารอาหารเหล่านั้น (ไกลโคเจนที่ได้จากคาร์โบไฮเดรต หรือ กรดอะมิโนที่ได้จากโปรตีน) ไปเป็นไขมันแทนนั่นเอง
  • ทานอาหารในปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสม โดยปกติแล้วผู้หญิงจะต้องได้รับประทานอาหารประมาณ 1,600 – 2,400 แคลอรี่ต่อวัน ส่วนผู้ชายจะอยู่ที่ 2,000 – 3,000 แคลอรี่ต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นกับกิจวัตรประจำวันด้วย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงและสอนกันมาอย่างยาวนานว่าการดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก่ว เป็นสิ่งที่ควรทำ ในบทความนี้ก็ยังยื่นยันเช่นนั้นว่าน้ำเป็นตัวช่วยหลักในการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และมีงานวิจัยหนึ่งพบว่าการดื่มน้ำวันละ 1.5 ลิตร สามารถลดน้ำหนักได้ในกลุ่มของผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินในช่วงอายุ 18-23 ปี นั่นเอง
  • ลดความเครียดลง ความเครียดส่งผลอย่างมากต่อฮอร์โมนในร่างกายของเรา อีกทั้งยังส่งผลต่อการนอนหลับของเราอีกด้วย ซึ่งการอัตราเกิดเมแทบอลิซึมจะได้รับอิทธิพลและผลกระทบโดยตรงอย่างแน่นอน

บทสรุปความสำคัญของเมแทบอลิซึมต่อสิ่งมีชีวิต

จากข้อมูลที่เราได้ทำการค้นคว้ามานี้คงจะแสดงให้เพื่อนๆ ได้เห็นบ้างแล้วว่าระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเรานั้นสำคัญมากเพียงใด โดยเฉพาะระบบหลักของการสร้างพลังงานเพื่อเก็บไว้ใช้ในร่างกายอย่าง “เมแทบอลิซึม” ดังนั้นเราก็ควรที่จะดูแลและรักษาร่างกายเพื่อคงการมีสุขภาพที่ดีโดยไม่ต้องไปเข้าคอร์สหรือหาหมอที่ไหน คุณสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง เพียงแค่คุณจะต้องทำความเข้าใจถึงความสำคัญและหลักการทำงานของมันเสียก่อน เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถดูแลร่างกายที่คุณรักได้ตราบนานเท่านาน

Leave a Comment