
ซาน มิเกล เดอ เอเยนเด (San Miguel de Allende) มีความเป็นมายาวนานกว่าห้าร้อยปี และถือเป็นเมืองแรกที่ประกาศอิสรภาพจากสเปน ต้นศตวรรษที่ 20 หลังสงครามยุติ เมืองนี้เกือบกลายเป็นเมืองร้าง ไร้ผู้คน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในหุบเขาเซียร่า มาเดร (Sierra Madre) ก้อนกรวดใหญ่เกาะตัวยึดแน่น ก่อขึ้นเป็นถนนคดเคี้ยว และบ้านเรือนสีสดสองชั้นตั้งอยู่ตัดสลับกันไปมา ประหนึ่งผลไม้สีสวยวางอยู่คู่กับสมุนไพรสีจัด ลองจินตนาการสีเหลืองของกล้วย สีเขียวของอะโวคาโด สีแสดจัดจ้านของผลส้ม วางเคียงอยู่กับพริกป่นและผงขมิ้นชันยังไงยังงั้นเลยค่ะ องค์กรยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลก (A Unesco World Heritage Site) เพื่อรักษาเมืองอันแสนสงบและคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของการผสมผสานสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมแบบบาโรค นีโอคลาสสิค และนีโอโกธิคเข้าด้วยกันให้สืบต่อไปชั่วลูกหลาน
เมืองนี้เป็นเมืองที่เหมาะแก่การเดินเท้าชมความงามดังนั้นจงตั้งต้นจรดปลายเท้าย่ำเมืองกันที่จัตุรัสใจกลางเมืองที่เรียกว่า ‘จาร์ดีน’ (Jardín) ภาษาสแปนิช ที่แปลว่าสวนทางใต้ของจาร์ดีนคือโบสถ์ประจำเขตแพริช หรือโบสถ์ประจำท้องถิ่น หินสีชมพู ลา พาร็อคเกีย เดอ ซาน มิเกล (La Parroquia de San Miguel Arcángel) ที่ตั้งตระหง่าน อยู่กลางเมืองบนพลาซ่า พรินซิเพิล (Plaza Principal) โบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยหน้าโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรม แบบนีโอโกธิค และตัวโบสถ์เป็นแบบบาโรค โบสถ์แห่งนี้เป็นหัวใจและสัญลักษณ์ของเมืองเลยก็ว่าได้ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเซนต์ ไมเคิล เดอะ อาร์ชานเกล (Saint Michael, The Archangel)ประทับ เทพเจ้าองค์นี้คือผู้นำทัพธรรมะเพื่อไปปราบเหล่าอธรรมซาตานในนรกภูมิ ในซาน มิเกลไม่มีอาสนวิหารหรือมหาวิหาร (Cathedral) มีเพียงแค่โบสถ์ ที่เรียกว่า ‘ลา พาร็อคเกีย’ (La Parroquia) ถัดออกไปตรงมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจาร์ดีนคือบ้านสองชั้นสไตล์บาโรค-โคโลเนียลของนายพลอิงนาซิโอ เอเยนเด (General Ignacio Allende) มหาวีรบุรุษโต้โผใหญ่ในสงครามปลดปล่อยชาวเม็กซิกันให้เป็นอิสระจากสเปน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ซานมิเกล เดอ เอเยนเด (Museo Histórico de San Miguel de Allende) และไม่ไกลกันนักตรงหัวมุมตึก คุณจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษท่านนี้ และมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘Hic Natus Ubique Notus’ ซึ่งแปลว่า ‘เกิดที่นี่ รู้ดีทั่วทุกย่าน’ และเมืองนี้ตั้งตามชื่อเขานั่นเอง
ย้ำเท้าก้าวเดิน ต่อจะเห็นเปลือกหอยเชลล์ขนาดมหึมาตั้งอยู่หน้าโบสถ์ The Templo de Nuestra Señora de la Salud หรือโบสถ์พระมารดาแห่งสุขภาพ ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และในวันที่ 22 พฤศจิกายนของทุกปีจะมีดนตรีมาแสดงอยู่หน้าโบสถ์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับเซนต์ซีซิเลีย (Saint Cecilia) เทพผู้อุปถัมภ์การดนตรีและศิลปิน ตรงหัวมุมถนนมีโซเนส ตัดกับถนนเฮอร์นานเดสมาเซียส มีโรงละครแองเจล่า เพเรลต้า (Teatro Angela Peralta) ที่ตั้งชื่อตามนักร้องโซปราโน่ แองเจล่า เพเรลต้า นักร้องชาวเม็กซิกัน เสียงกังวานดั่งนก
ไนติงเกล ซึ่งถือเป็นศิลปินคนแรกที่เปิดการแสดงในโรงละครที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคแห่งนี้ ปัจจุบันโรงละครแห่งนี้เป็นสถานที่แสดงคอนเสิร์ตร้องเล่นเต้นรำ แสดงโชว์ต่างๆ มากมาย รวมถึงฉายภาพยนตร์ด้วยสถาปัตยกรรม ในเมืองนี้ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากสเปนและรวมไปถึงฝรั่งเศสด้วย อาทิ โบสถ์ Templo de las Monjas ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโบสถ์เล็กๆ Les Invalides ในปารีสที่สวยงาม
เดินทอดน่องต่อไปเรื่อยๆ เพื่อชมร้านต่างๆ ในเมืองซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของสินค้าทำมือ รวมถึงร้านยาสมุนไพรที่ชาวเม็กซิโกใช้รักษาโรคต่างๆ มาหลายศตวรรษ และยังคงสภาพร้านไว้เฉกเช่นสมัยโบราณกาล ที่เก็บยาแห้งเอาไว้ในกระป๋องสังกะสี แปะฉลากสีทองตัดขาวน่ามอง ส่วนยาน้ำอยู่ในขวดแก้วสีน้ำตาลแก่ทึบ ดูขึงขัง สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือต้องไปชมตลาดของเมืองนี้ มีสินค้าและเครื่องปรุงอาหารหน้าตาแปลกๆ มากมายวางขายอยู่กลาดเกลื่อน ผักชนิดหนึ่งที่ชาวเม็กซิกันชื่นชอบเป็นอย่างมาก และถือเป็นส่วนผสมหลักของอาหารเม็กซิกัน นั่นก็คือใบของต้นกระบองเพชร พันธุ์โนปาล (Nopal) ซึ่งมีลักษณะเหมือนหยดน้ำ รสชาติอยู่กึ่งๆ ระหว่างถั่วฝักยาวหน่อไม้ฝรั่ง และพริกหยวกแดงกรอบหวานอร่อย ชาวเม็กซิกัน มักนำไปใส่ในซุป สตูว์ ซอลซ่า และเซวิเช่ (สลัดทะเลแบบเม็กซิกัน) กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ว่าแล้วก็ซื้อขนมชูโรส ปาท่องโก๋สเปนที่กรอบนอกนุ่มในมาทานเล่นระหว่างเดิน ขึ้นเนินไปยังมิราดอร์ (Mirador) จุดชมวิวแบบสามร้อยหกสิบองศาจากมุมสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ใครใคร่จะขึ้นแท็กซี่ก็ได้นะคะ แต่ส่วนตัวแล้วแนะนำให้เดินค่ะ เพราะจะได้ไม่พลาดความสวยงามที่สัมผัสได้ระหว่างทาง
สวรรค์ของนักทานอยู่ที่นี่เองค่ะ ตั้งแต่เชพดอนนี่มาสเตอร์ตันย้ายจากแคลิฟอร์เนียมาตั้งหลักปักฐานเปิดร้านอาหารหรู ‘เดอะ เรสเตอร์รองท์’ อยู่ที่เมืองนี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วทำให้อาหารแนวเก็บเกี่ยวจากฟาร์มปรุงสดๆ สู่โต๊ะอาหารนั้นเป็นแกนสำคัญของแนวอาหารในเมืองนี้ หลังจากนั้นไม่นานเชฟชาวเม็กซิกันคนสำคัญชื่อดัง เอนริเก้ โอลวีร่า ก็เข้ามาเสริม กำลังให้เมืองนี้เป็นเมกกะของอาหารอย่างแท้จริง เมื่อมาเป็นเชฟใหญ่ให้กับร้านโมซิ ในโรงแรมมาทิลดะ (Hotel Matilda) นอกจากนี้ยังมีร้าน 1826 เรสเตอร์รองท์ ในโรงแรมโรสวู้ด ที่อิ่มทั้งตาอิ่มทั้งใจ ภายในกำแพงสีเหลืองสดของร้านอาหารเอลปิกาโซ่มีอาหารเช้าแบบเม็กซิกันแท้ๆ รออยู่ พร้อมด้วยการบริการที่เป็นมิตรเฉกเช่นคุณมาทานอาหารบ้านเพื่อน แต่ถ้าใครชอบความสบายๆ เดินไปทานไปแบบเบาๆ ก็มีอาหารหลากชนิดหลายประเภทให้เลือกอยู่ตามถนนหินแคบๆ สองข้างทาง ขอแนะนำ ‘ทามาลี’ ที่ทำจากข้าวโพดสอดไส้เนื้อสัตว์
ชนิดต่างๆ หวานน้อยๆ เค็มนิดๆ ทานคู่กับกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่น
ที่โรงแรมโรสวู้ด ซาน มิเกล โรงแรมที่เราพัก มีบาร์อยู่ชั้นดาดฟ้า ที่เผยโฉมเมืองทั้งเมืองให้ประจักษ์สู่สายตา พร้อมจิบเตกีล่าชมพระอาทิตย์ทอแสงสีส้มทองอร่ามไปทั่วเมืองที่ค่อยๆ คล้อยต่ำลงแตะพื้นดินตรงเส้นขอบฟ้าไกล
หากคุณท่องราตรีแล้วท้องร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา ให้ตรงดิ่งไปยังพารอคเกีย เดอ ซาน มิเกล เปล่าให้ไปสักการะเทพเจ้ายามวิกาล แต่ตรงข้ามโบสถ์แห่งนี้มีร้านรถเข็นขายแซนด์วิชไส้กรอก และแฮมเบอร์เกอร์ อร่อยลืม แต่ทีเด็ดอยู่ที่โบสถ์สีชมพูสูงดูขึงขังในยามค่ำคืนตรงหน้า ที่คุณจะหาประสบการณ์แบบนี้ที่ไหนไม่ได้
การเดินทางมาที่นี่อย่างสะดวกที่สุดคือการเดินทางโดยเครื่องบินเพื่อมาลงสนามบินนานาชาติฮวนนาวัตโตหรือสนามบินบาฮิโอที่อยู่ในเมืองลียง (León) ซึ่งเป็นสนามบินหลักประจำรัฐนี้ เครื่องบินออกทุกวันจากลอส แองเจลิส, แอตแลนต้าดัลลัส, ฟอร์ทเวิร์ธ และชิคาโก้ ในสหรัฐอเมริกา ถ้าจะให้ดีแนะนำว่าให้มาแวะเที่ยวที่ลอส แองเจลิส แล้วจึงบินตรงจากที่นั่นมายังเมืองนี้ จากนั้นจึงต่อรถบัสสาธารณะหรือใช้บริการรถรับส่งของโรงแรมที่คุณเลือกพักเพื่อโดยสารมาซาน มิเกล ซึ่งใช้เวลานั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่ง สำหรับคนไทย อย่าลืมไปขอวีซ่าท่องเที่ยวจากสถานทูตเม็กซิโกด้วยนะคะ
เรื่องและรูป พิมลศิริ บุนนาค และ ปีเตอร์ ลูอิค
ภาพบางส่วนจาก travelspotphotos.blogspot.com & smallshopstudio.com & carmenamato.net
นิตยสาร OK! ฉบับ 206 13 กันยายน 2013
Comments
comments