อัลบั้มแรกในชีวิต ศิลปินสุดปลื้ม และมุมมองที่เติบโตในวันนี้ของวิโอเลต วอเทียร์

อัลบั้มแรกในชีวิต ศิลปินสุดปลื้ม และมุมมองที่เติบโตในวันนี้ของวิโอเลต วอเทียร์

หลังบ่มเพาะและสั่งสมประสบการณ์ในวงการเพลงมายาวนานนับ 7 ปี มาวันนี้วิโอเลต วอเทียร์ เด็กสาววัยรุ่นเจ้าของเสียงมีเอกลักษณ์แห่งเวทีประกวดร้องเพลงชื่อดัง The Voice Thailand ซีซั่นที่ 2 ในปี 2013 ที่เคยร้องเพลง “Leaving on a Jet Plane” จนผู้ชมทั่วไทยจดจำเธอได้ กลายเป็นนักร้องและนักแสดงคุณภาพประดับวงการบันเทิง พร้อมกับได้เช็กลิสต์หนึ่งในความฝันของตัวเอง ด้วยการมีผลงานเพลงภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกในชีวิต Glitter and Smoke วีในวัย 26 ปีเผยว่าเธอตั้งใจตั้งแต่แรกว่าต้องการทำงานอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษ โดยมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์งานเพลง หลังใช้เวลาทำอัลบั้มกว่า 2 ปีครึ่ง ในที่สุด Glitter and Smoke ก็ปรากฏออกมาเป็นรูปเป็นร่าง พร้อมเพลงเพราะๆ ที่แสนจะอินเตอร์ให้ฟีลทั้งส่องสว่างวิบวับและหม่นเทาอีกทั้งหมด 9 เพลง ได้แก่ “Smoke”, “Brassac”, “We Own This World”, “Drive”, “Cool”, “Love and Money”, “Unstoppably”, “I’d Do It Again” และ “All That I Can Do” ต้องบอกว่าวีคือหนึ่งในศิลปินหญิงที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เธอเปี่ยมด้วยพรสวรรค์และความสามารถ ไม่หยุดกับการสร้างสรรค์ผลงานและพัฒนาตัวเอง ทั้งยังพยายามเรียนรู้เท่าทันตัวเองในทุกๆ วัน ความสุขที่แท้จริงของศิลปินสายอาร์ตลูกครึ่งไทย-เบลเยียม คือการได้ทำสิ่งที่รัก เชื่อในสัญชาตญาณ ทำตัวให้เป็นคนที่ผู้คนรอบกายรัก โดยไม่ทิ้งความเป็นตัวตนแม้ทุกวันนี้ชีวิตจะเดินทางมาไกลเกินฝันและกลายเป็นคนดังที่ผู้คนต่างจับตามองก็ตาม…

 

 

แรงบันดาลใจของอัลบั้มล่าสุด Glitter and Smoke คืออะไร ให้คำจำกัดความแนวเพลงว่าเป็นแนวไหน

สำหรับ Glitter and Smoke วีใช้เวลาในการทำอัลบั้ม 2 ปีครึ่งได้ ตั้งเป้าไว้แต่แรกเลยว่าจะทำเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ด้านคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้คือเล่าความเป็นตัววี เรื่องราวของวี รวมทั้งความทรงจำที่วีดึงออกมา ซึ่งวีจัดการเองทุกอย่าง ที่จริงตอนเริ่มทำ วีไม่ได้มีคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนขนาดนั้น ทำด้วยฟีลลิงที่รู้สึกว่าอยากเล่าเรื่องราวที่ตรงไปตรงมา เน้นอารมณ์ความรู้สึก รู้ว่าอยากได้ความรู้สึกเฉดๆ สีนั้นสีนี้ล่ะ จนพอทำเพลงมาครบอัลบั้ม แล้วมานั่งเรียงกัน ก็เข้าใจแล้วว่าคอนเซ็ปต์คืออะไร มันคือการอยู่กับโมเมนต์นั้นมากๆ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เราอยู่กับมัน และเรียนรู้ที่จะดื่มด่ำไปกับความรู้สึกในเพลงนั้นๆ วีรู้สึกดีใจมากๆ ที่เล่าเรื่องราวมากมายขนาดนี้ออกมา เพราะถ้าสัมภาษณ์วี ไม่มีทางที่วีจะเล่าเรื่องใดๆ ให้ฟังทั้งสิ้น นอกจากจะเล่าผ่านเพลง ถือว่าเป็นส่วนตัวมากๆ ค่ะ

 

 

เวลาคนถามว่าแนวเพลงเป็นแนวไหน วีจะตอบไม่ได้ แต่รู้ว่าหลักๆ คือป๊อปนั่นล่ะ วีรู้สึกว่าทุกวันนี้เราไม่ควรจำกัดความว่างานเพลงในอัลบั้มคืออะไรขนาดไหนแล้ว เพราะตอนที่วีทำ วีไม่ได้คิดว่าคืออะไร วีคิดแค่ว่าเสียงนี้เหมาะนะ วีชอบแบบนี้ อยากทำแบบนี้ บีตเท่านี้ คือพื้นฐานโดยรวมเป็นป๊อป แต่ก็แค่โดนโอบอุ้มด้วยอะไรหลายๆ อย่าง วีเลยมองว่ามันเป็นงานเพลงป๊อปทางเลือกค่ะ จะเป็นอัลเทอร์เนทีฟป๊อป อิเล็กทรอนิกส์ป๊อป หรืออินดี้ป๊อปก็ได้ เพราะวีรู้สึกว่ามันเป็นทางเลือกของวีจริงๆ

 

 

มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้มากน้อยแค่ไหน 

มีส่วนร่วม 100 เปอร์เซ็นต์เลย หลายเพลงแต่งเองคนเดียว บางเพลงอาจมีคนช่วยแต่งนิดหน่อย อย่างดนตรีก็ทำกับโปรดิวเซอร์ชื่อพี่โหน่ง-วิชญ วัฒนศัพท์ วีทำเมโลดี้ออกมาว่าอยากได้โน้ตแบบนี้นะ พี่โหน่งก็จะแนะว่าบีตประมาณนี้ไหม นั่งหาเสียงไปด้วยกัน นี่คือที่บอกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าไม่มีส่วนร่วมก็คงจะมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ในด้านการมิกซ์มาสเตอร์ซึ่งเป็นพาร์ตที่วีไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ ก็จะให้ผู้เชี่ยวชาญมามิกซ์ให้ เท่าที่ทำได้อย่างมากก็คือจะฟังและฟีดแบ็กกลับไปว่ารู้สึกอย่างไร เสียงดังไป เบาไป หรือยังไม่ใช่อย่างไร ดูว่าองค์รวมเป็นอย่างไรมากกว่า

 

 

อัลบั้มนี้มีศิลปินอื่นมาร่วมฟีเจอริงด้วย เป็นไงมาไงถึงมาร่วมงานกับแม็กซ์ณัฐวุฒิ เจนมานะ ในเพลง “Unstoppably” และ SYPS ในเพลง “Cool” ได้  

วีเลือกจากคนที่ร่วมแต่งเพลงกับวีได้ค่ะ ใครร่วมแต่งกับวีได้ วีก็ชวนคนนั้นร้องเลย อย่างพี่แม็กซ์เขาช่วยเขียนเพลง “Unstoppably” แล้ววีรู้สึกว่าเสียงพี่แม็กซ์กับเสียงวีเข้ากันได้ “Unstoppably” เป็นเพลงที่มีบทสนทนาของผู้หญิงและผู้ชายอยู่ ในเมื่อเพลงถูกเขียนให้เป็นบทสนทนาแบบนั้น ไหนๆ พี่แม็กซ์ก็ร่วมเขียนแล้ว งั้นมาร้องด้วยกันเลยไหม

 

 

ส่วนเพลง “Cool” เพลงนี้ก็มาจากความรู้สึกส่วนตัว เหมือนว่าช่วงเวลาคนจีบๆ กัน จะมีความเก๊กคูลหรือมีมาดบางอย่าง แล้ววีเคยเจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเขินและคุมตัวเองไม่อยู่ มันเลยเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “I lost my cool.” จริงๆ มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่เราแค่จำฟีลลิงนั้นที่เคยรู้สึกมาถ่ายทอดในเพลง เซ็ตติ้งของเพลงนี้อยู่ในบาร์ อารมณ์จีบๆ เขินๆ กัน ตอนเริ่มเขียนเพลง วีเขียนคนเดียวก่อน เขียนไว้ประมาณหนึ่ง แล้วก็ลองไปให้ SYPS ดู เขาเห็นแล้วก็ชอบ เลยช่วยเขียน วีเลยคิดว่างั้นมาร้องด้วยกันเลยไหม ก็นั่งเขียนด้วยกันจนออกมาเป็นเพลง “Cool” และวีชอบเสียง SYPS มาก คือเพราะมาก ไม่ไหวแล้ว นอกจากนี้ SYPS ยังช่วยเขียนเพลง “All That I Can Do” ด้วย บางทีวีเขียนไปก็ตัน รู้สึกว่าท่อนฮุกจะเอาอย่างไรดี ก็เดินถือของไปบ้าน SYPS ที่อยู่ใกล้กัน บอกช่วยแต่งให้หน่อย เราสนิทกันด้วยล่ะเลยชวนมาร่วมงานกันได้ง่าย

 

 

 

ศิลปินที่วีชื่นชมและเป็นแรงบันดาลใจให้วีมีใครบ้าง ทั้งอินเตอร์และไทย

ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวีเลยคือเทย์เลอร์ สวิฟต์ เพราะวีเริ่มหยิบกีตาร์และเขียนเพลงเพราะเทย์เลอร์ วีรู้สึกว่าตอนเขาอายุ 16 ปี เขาก็แต่งเพลงเองได้แล้ว ตอนนั้นวีก็อายุ 15-16 ปีเหมือนกัน เขาอายุ 16 ปี เขายังทำได้เลย แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ วีชอบเพลงเขา และรู้สึกว่ามันก็ไม่ยากเกินไป เลยเริ่มแต่งเพลงเอง ส่วนตัววีชื่นชมเทย์เลอร์มากๆ เรื่องการเขียนเพลงที่มีวิธีเล่าเรื่องในสไตล์ของเขามากๆ รู้สึกชื่นชมในสายนักแต่งเพลง วีรู้สึกว่าวีเป็นฝ่ายเล่าเรื่อง ยิ่งเรียนด้านภาพยนตร์มาด้วย ก็จะผสมผสานวิธีการเล่าแบบภาพยนตร์เข้าไปในเพลง เล่าด้วยภาพหรือฉาก ไม่ได้เล่าด้วยคำพูดเสมอไป

 

 

 

วีชอบเพลงของเทย์เลอร์หลายเพลงมาก แต่ถ้าให้เลือก 2-3 เพลง ตอนเด็กๆ จำได้ว่าชอบเพลง “Mean” รู้สึกว่ามันมีความหวัง ความฝัน และการมองโลกในแง่บวก อีกเพลงที่ชอบคือ “Last Kiss” ฟังแล้วรู้สึกเศร้า ส่วนอัลบั้มล่าสุด folklore วีรู้สึกว่าเป็นอัลบั้มมาสเตอร์พีซของเทย์เลอร์ เพลง “exile” โดดเด่นมาเลย เพลง “august” วีก็ชอบ เลือกไม่ได้ว่าชอบเพลงไหนมากที่สุด ตอนนี้วนอยู่ที่ 2 เพลงนี้นี่ล่ะ

 

 

 

ส่วนฝั่งไทย ส่วนตัววีฟังเพลงไทยน้อยมากเลย ตอนเด็กๆ ก็มีฟังคลื่นซี้ดและเพลงของศิลปินจากค่ายกามิกาเซ่ แต่พอนึกไปนึกมา วีชอบเสียงของพี่ธีร์ ไชยเดช เสียงของเขาฟังสมูธ มีความเบา ความสบาย เสียงกีตาร์ของเขาก็เพราะ วีชอบมาก รู้สึกว่าถ้าวีจะทำเพลงไทยแล้วอยากฟีเจอริงกับใครสักคน อยากร่วมงานกับพี่ธีร์นี่ล่ะค่ะ

 

ในอนาคตอยากเห็นวงการเพลงไทยเป็นแบบไหน

วีอยากให้เปิดกว้าง รู้สึกว่าจริงๆ เรามีคนเก่งๆ เยอะมาก เพียงแต่พื้นที่ที่มีให้เขานั้นน้อย หลายเวทีมักมีแต่ศิลปินระดับท็อปๆ มาเล่น ซึ่งวีรู้สึกว่ายังมีวงดีๆ อีกเยอะ แค่เขาอาจไม่เป็นที่รู้จักขนาดนั้น คลื่นวิทยุที่เปิดเพลงอยู่ก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้น วีอยากเห็นคนฟังลองเปิดใจและเปิดกว้างดู เพราะยังมีศิลปินและงานเพลงดีๆ อีกเยอะมาก ไม่อยากให้มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าต้องทำแบบนี้สิถึงจะดัง เพราะที่จริงแล้วทำเพลงแบบไหน มันก็ดีในแบบของมันได้ และถ้าเกิดคนฟังมีโอกาสในการฟังงานเพลงที่หลากหลายมากขึ้น เขาก็จะมีสิทธิเลือกชอบได้มากขึ้น

 

 

อยู่ในวงการมาราว 7 ปีแล้ว สิ่งที่วีอยากทำให้ดีกว่าเดิมหรือพัฒนาในฐานะศิลปินคืออะไร

ในด้านศิลปิน วีผลักดันตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว อยากทำให้ดีกว่าเดิม เขียนเพลงดีกว่าเดิม ทำดนตรีดีกว่าเดิม ร้องดีกว่าเดิม ทำโชว์ดีกว่าเดิม เล่นเปียโนโชว์เองได้แล้ว ทำอะคูสติกโชว์คนเดียวได้ นี่คือสิ่งที่อยากทำให้ได้ในฐานะศิลปิน และถ้าเป็นไปได้ วีอยากมีส่วนที่อินสไปร์ให้คนรุ่นหลังๆ เหมือนกัน เพราะเขาก็จะเห็นวีที่โตมาไล่ๆ กันกับเขา เห็นวีมาตั้งแต่เป็นเด็กมหาวิทยาลัย เริ่มเข้าประกวดในรายการ The Voice Thailand ทุกคนเห็นการเดินทางของวีว่ามาอย่างไร วีรู้สึกเติบโตต่อหน้าทุกคนมากๆ เลย ตรงนี้มันน่าจะอินสไปร์เขาได้ว่าจากคนที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่มีคอนเน็กชั่นใดๆ แม่เป็นอาจารย์ พ่อเป็นฝรั่ง บ้านอยู่ริมคลองกรุงเทพฯ ก็มีวันนี้ได้เพราะความสู้ของตัวเอง วีหวังว่าเขาจะอยากสู้ในทางของเขาเหมือนกัน แต่หลักๆ แล้ววีไม่ได้อยากเติบโตแค่ในฐานะศิลปินที่ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างเดียว วียังอยากพัฒนาในเชิงบุคคลด้วย อยากเติบโตไปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่คนรอบตัวเรารัก

 

 

เวลามีผลงานออกมา วีฟังความเห็นจากใครว่าเพลงดีนะ โชว์ดีแล้ว

ถ้าเป็นพาร์ตของการทำเพลง วีจะไม่ฟังคนอื่น วีจะฟังโปรดิวเซอร์เป็นหลัก แล้วก็เชื่อตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ววีต้องชอบเพลงตัวเองก่อน ถ้าวีชอบ ก็ต้องมีคนที่ชอบเหมือนวี แล้วพอปล่อยปุ๊บ เขาจะชมว่าดีหรือไม่ดี วีไม่รู้ แต่มันดีสำหรับวีแล้ว ถ้าเป็นเรื่องโชว์ วีจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ ค่อนข้างมาก เพราะเราก็ต้องดูฟีดแบ็กของคนดู สุดท้ายแล้วเราไม่ได้โชว์เพื่อตัวเองคนเดียว แต่เราโชว์ให้คนดูด้วย ก็เลยรู้สึกว่างั้นรอดูฟีดแบ็กว่าตรงไหนขาดหรือคนรอบตัวเรารู้สึกว่าขาดอะไร ก็จะเช็กข้อมูลและความคิดเห็น แล้วลองดูว่าปรับได้แค่ไหนหรือเปลี่ยนเซ็ตลิสต์อะไรได้บ้างเพื่อให้โชว์ดีขึ้น

 

 

เป้าหมายในการเป็นศิลปินของวีในวันนี้คืออะไร

ก็หวังว่าจะทำงานนี้ไปได้เรื่อยๆ และทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยค่ะ

 

 

นอกจากเป็นนักร้อง วียังเป็นนักแสดงด้วย ความแตกต่างระหว่างการเป็นนักร้องกับนักแสดงในมุมมองของวีคืออะไร

ถ้าเป็นการเล่นคอนเสิร์ต วีรู้สึกว่าเราต้องเป็นตัวเองเต็มที่ สบายๆ กับทักษะของตัวเอง เพราะไม่มีโมเมนต์ไหนที่เราจะเป็นตัวเราเองไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดง เราเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวเอง วีเป็นคนค่อนข้างเลือกบทค่ะ แต่ไม่ได้เลือกบทที่เล่น เน้นเลือกบทที่เป็นเรื่องมากกว่า เพราะวีรู้สึกว่าตัวเองต้องรักเรื่องนี้ก่อน ถ้าวีรักเรื่องนี้ วีจะเป็นอะไรก็ได้ เพราะวีอยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ ก็เลยจะต้องดูบทในเชิงว่าเรื่องใหญ่ๆ โดยรวมเป็นอย่างไร แต่ถ้าวีไม่ชอบหรือรู้สึกว่าไม่เหมาะกับวี ก็ไม่เอาดีกว่า เพราะการแสดงใช้เวลาเยอะ ถ้าเกิดใจเราไม่ได้รักสิ่งนั้นเต็มที่ เดี๋ยวเราจะไม่เต็มที่ไปด้วย เราไม่อยากทำอะไรที่ไม่เต็มที่

 

 

งานแสดงทำให้วีได้เรียนรู้อะไรบ้าง ส่วนตัวเราชอบงานแสดงอยู่แล้วหรือเปล่า

วีเล่นหนังและละครควบคู่กับการทำเพลงตลอด 7 ปี การแสดงเป็นสิ่งที่วีชอบและอยากทำอยู่แล้ว ทั้งยังทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมนุษย์เยอะมากผ่านการแสดง เพราะเวลาแสดง วีต้องทำความเข้าใจตัวละคร เลยรู้สึกว่าเราจะมีความพยายามในการทำความเข้าใจมนุษย์อยู่ แล้วมันก็เลยมาถึงเรื่องในชีวิตปกติของตัวเองด้วย เราเหมือนจะมีความเข้าใจคนอื่นมากขึ้นกว่าเดิม พอเราเข้าใจคนอื่น ก็เหมือนกับเราเปิดรับคนอื่นมากขึ้น ทำให้เราใจเย็นลง

 

 

หนังสุดประทับใจของวีคือเรื่องไหน

จะบอกว่าเลือกยากมากเลย เพราะมีหนังดีๆ เยอะมาก อย่างล่าสุดก็เพิ่งกลับไปดูคือหนัง Harry Potter ทุกภาค รู้สึกว่าสนุกจัง วีชอบหนังสือเรื่องนี้มาก พอมีเวอร์ชั่นหนังเราก็สนุกที่ได้ดู อีกเรื่องที่ชอบคือ The Way, We Back หนังอินดี้อเมริกันซึ่งมีความเป็น Coming of Age สูง เพิ่งดูไม่นานมานี้ ชอบค่ะ

 

 

หนังสือเล่มโปรดคือเรื่องไหน

ปกติวีไม่ได้อ่านหนังสือเยอะมาก แต่ชอบหนังสือ Harry Potter อย่างที่บอกไป และอีกเล่มที่ชอบคือ Tuesdays with Morrie

 

มุมมองความรักที่ผ่านมาและวันนี้ของวีเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

วีรู้สึกว่ายังมองความรักว่าเป็นสิ่งที่ดีเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย แค่วีมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้น รู้สึกว่าความรักจะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก มันอยู่ที่มนุษย์นะ ความรักเองไม่ได้เป็นพิษใดๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้มันดูเป็นพิษขึ้นมาคือมนุษย์ที่เข้าใจและใช้ความรักผิดวิธี มันมีความลุ่มหลง ความอิจฉา หรืออื่นๆ ที่มาทำให้ความรักดูปนเปื้อนมากกว่า ที่จริงความรักคือความบริสุทธิ์บางอย่างที่เราได้รับจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่มีไว้ดีกว่า ความรักเติมเต็มวีมากๆ ไม่ว่าจะจากครอบครัว เพื่อน แฟน หรือใครก็ตาม แม้กระทั่งคนรู้จัก แค่ความเมตตาที่ยิ้มให้กัน มันก็เป็นสิ่งที่ได้รับแล้วรู้สึกดีมากๆ ค่ะ และถ้าเราได้สั่งสมความรักแล้วส่งต่อไปยังผู้อื่น มันก็รู้สึกดีมากๆ ด้วยเหมือนกัน

 

วีกับเก้า-จิรายุ ละอองมณี แฟนหนุ่มมาดเซอร์

 

รู้สึกอย่างไรที่คนติดตามเรื่องส่วนตัวของเราไม่น้อย ซึ่งบางครั้งอาจมากกว่าเรื่องงานด้วยซ้ำ  

ก็รู้สึกว่าอยากให้ติดตามผลงานมากกว่านะคะ (หัวเราะ) เลยตัดสินใจว่าไม่อยากเปิดเผยเรื่องความรักเยอะขนาดนั้น ซึ่งตอนนี้ก็เปิดเผยเยอะกว่าที่ต้องการแล้วล่ะ เพราะโดนถามบ่อย คิดว่าอาจจะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไปพักใหญ่เลย เพราะรู้สึกว่าคนให้ความสนใจเราเรื่องนี้มากเกินไป เพราะฉะนั้นขอเก็บไว้หน่อยแล้วกัน แต่เราก็ไม่ได้อยากปิดหรือใช้ชีวิตด้วยคำโกหกอยู่แล้ว ถามมาก็ตอบ แต่ก็ไม่ได้อยากเปิดเผยอะไรมากขนาดนั้น

 

 

สิ่งสำคัญที่วีได้เรียนรู้จากวงการบันเทิงคืออะไร

ได้เรียนรู้เยอะนะคะ ที่เรียนรู้แน่ๆ และเป็นบทเรียนสำคัญคืออย่าโพสต์อะไรด้วยอารมณ์เด็ดขาด อย่าโต้ตอบอะไรด้วยอารมณ์เด็ดขาด หลักๆ คือจงมีสติมากๆ ในการใช้ชีวิต ปล่อยสติหลุดบ้างไม่เป็นไร แต่ต้องมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เสียใจกับสิ่งๆ นั้นที่ปล่อยหลุดไป

 

เคล็ดลับที่จะช่วยให้วีก้าวต่อไปอย่างมั่นใจ พอดี และมั่นคงในวงการนี้ โดยยังคงความเป็นตัวเองไว้ได้คืออะไร

วีว่าเราแค่ต้องคุยกับตัวเองบ่อยๆ เช็กว่าเรากำลังกลายเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบอยู่หรือเปล่า เราน่าจะมีไอเดียอยู่แล้วว่าคนแบบนี้เราชอบ คนแบบนี้เราไม่ชอบ แล้วถ้าเราเริ่มมีคุณสมบัติบางอย่างที่กำลังทำให้กลายเป็นคนที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ชอบ อยากให้ถอยกลับมาหรือหักเลี้ยวหนีจากตรงนั้นไป และสิ่งที่สำคัญมากๆ คือครอบครัว เพื่อน และผู้คนรอบข้าง ที่เขาจะทำให้วีภูมิใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของวีมากๆ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ วีอาจจำตัวเองก่อนเข้าวงการไม่ได้ และอาจจะลืมไปเลย แต่เพราะการมีคนกลุ่มนี้ของวีทำให้วียังจำวีจริงๆ ได้อยู่ ว่าตั้งแต่ก่อนเข้ามาวีเป็นแบบไหน พอเติบโตไปวีค่อยๆ เป็นแบบไหน แล้วเขาก็คอยอยู่เคียงข้างเราตลอด

 

 

COVID-19 เปลี่ยนมุมมองของวีในด้านไหนบ้าง

วีว่าวีปล่อยวางมากขึ้นเยอะค่ะ ช่วงกักตัวทำให้วีได้อยู่บ้านและเช็กกับตัวเองว่าที่ผ่านมาเราเป็นอย่างไรบ้าง ไหนรีวิวหน่อยว่าตั้งแต่เข้าวงการมาเป็นอย่างไร ก็เห็นข้อเสียและข้อดีของตัวเอง ช่วงที่ผ่านมาเรามองเห็นคุณสมบัติบางอย่างของตัวเองที่เราไม่ชอบเลย รู้สึกว่าเมื่อก่อนเราไม่ได้เป็นแบบนี้นี่ แล้วก็พยายามจะกลับไปเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งเราก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนบางอย่าง เพราะเริ่มตระหนักได้ว่าโอเค เรากลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมันผิดธรรมชาติที่เราจะเดินถอยหลัง เราต้องเดินไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นก็ตั้งภาพรวมไว้ว่าในอนาคตเราอยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหน แล้วก็เดินไปทางนั้นดีกว่า เพราะถ้าเรามองไปข้างหลัง แล้วพยายามจะกลับไปทางนั้น มันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้าตลอด ก่อนหน้านี้มีช่วงที่รู้สึกแย่เหมือนกัน แต่ตอนนี้วีกลับมารู้สึกบวกกับตัวเองมากๆ วีอาศัยคุยกับตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้รู้และเท่าทันตัวเอง

 

 

MUSIC FOR EVERY MOMENT

เพลงไหนใช่เลยใน 10 โมเมนต์ของวี วิโอเลต

 

1.เพลงในอัลบั้มที่ใช้เวลาในการแต่งและเข้าห้องอัดนานที่สุด

“We Own This World” เพลงนี้อัดทั้งหมด 3 รอบ เพราะไม่ถูกใจสักที แต่ถ้าแต่งนานที่สุดคือ “I’d Do It Again” เพราะว่าแต่งทิ้งไว้แล้วไม่ได้กลับมาแต่งอีกเลย ข้ามไป 1 ปี แล้วค่อยกลับมาแต่งอีกรอบ

 

 

2.เพลงที่ร้องยากที่สุดในอัลบั้ม

“All That I Can Do” กับ “Brassac” เพลงแรกช่องเสียงมันเปลี่ยนบ่อย เพลงหลังยากเพราะต้องพ่นเร็วกว่าที่เราคิด

 

 

 

3.เพลงที่นึกถึงเวลาอินเลิฟ

รู้สึกว่าเพลงในอัลบั้มนี้อาจไม่ใช่ความรักที่สมหวังเท่าไร แต่ถ้าให้เลือกจากอัลบั้มน่าจะเป็น “Cool” นะที่ใกล้เคียงความรัก “Brassac” ก็เป็นเพลงหนึ่งที่เหมาะฟังตอนอินเลิฟเหมือนกัน

 

 

 

4.เพลงของศิลปินหน้าใหม่ที่ชอบ

เพลง “I miss you, I’m sorry” ของเกรซี่ อาบรัมส์ ล่าสุดวีเพิ่งไลฟ์กับเกรซี่ รู้สึกว่าบางอย่างของเพลงนี้เป็นวิธีที่วีชอบ ทั้งโทนเสียง วิธีเล่าเรื่อง มันเป็นเรื่องเข้าใจง่าย ภาษาไม่ยาก เมโลดี้ก็ติดหู

 

 

5.เพลงที่ชอบฟังตอนเครียดๆ หรือรู้สึกแย่

วีจะมีเพลงหนึ่งเอาไว้ร้องปลอบใจตัวเองเวลาสติแตก คือเพลง “Three Little Birds” ของบ๊อบ มาร์เลย์ ตอนก่อนไปประกวดเวที The Voice Thailand วีก็ร้องเพลงนี้ บางทีไปทำงานสายเพราะเราจำวันผิด ทีมงานโทรมาเช็กว่าเราอยู่ไหน แล้วเรายังอยู่บนเตียงอยู่เลย ก็สติแตกมาก ขับรถไปก็จะร้องไห้ ไม่รู้จะทำยังไงดี เลยต้องใจเย็นๆ เตือนตัวเองว่าสติหลุดเกินไปแล้ว ก็จะร้องเพลงนี้ ให้รู้สึกว่าโอเค สายแล้วไม่เป็นไร คงไม่สายมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ทำดีที่สุดแล้ว รถติดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็ไปทันค่ะ โชคดีที่มันเป็นเวิร์กช็อปทั้งวันเฉยๆ ไม่ได้ไปออกงาน

 

 

6.เพลงที่ฟังบ่อยสุดตอนล็อกดาวน์ช่วง COVID-19

วีฟังเยอะมากช่วงนั้น ส่วนใหญ่ฟังเพลงของ Lauv, วง 1975 และดัว ลิปา

 

7.เพลงที่ฟังแล้วอยากแดนซ์

“Yo x Ti, Tu x Mi” ของโรซาเลียกับ Ozuna ฟังเพลงนี้แล้วยังไงก็ต้องเต้นนะ

 

 

8.เพลงที่ชอบฟังชิลล์ๆ ตอนขับรถ

เพลงของจอห์น เมเยอร์ อย่าง “Love on the Weekend”, “New Light”

 

 

 

9.เพลงที่ชอบร้องแบตเทิลกับเกิร์ลแก๊ง

อาจจะเพลงของศิลปินกามิกาเซ่ไปเลย แล้วก็ของ BLACKPINK อย่าง “How You Like That” โดยส่วนตัววีฟังเพลงค่อนข้างกว้าง แต่ก็ไม่ได้กว้างมากขนาดนั้น ส่วนใหญ่ฟังเพลงอังกฤษกับฝรั่งเศสมากกว่า อย่างเกาหลีก็ไม่ค่อยได้ฟัง ฟังแค่ BLACKPINK เพลงไทยก็ไม่ค่อยได้ฟัง ยกเว้นว่ามันจะเด่นออกมาจริงๆ อย่าง “คิด (แต่ไม่) ถึง” ของ Tilly Birds

 

 

10.เพลงที่เราอาจเซอร์ไพรส์ที่รู้ว่าวีชอบ

“มาเฟียสเปน” ของ YOUNGOHM ปกติวีไม่ได้ชอบฟังเพลงฮิปฮอปอะไรขนาดนั้น ไม่เคยตั้งใจฟังจนกระทั่งได้ยินเพลงนี้ รู้สึกว่ายังโอมเขาเก่ง วีชอบเพลงนี้นะ

 

 

[Credit]

Universal Music Thailand

 

✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦

ติดตามนิตยสาร OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่

Website : www.okmagazine-thai.com
Instagram : www.instagram.com/okmagazinethailand
Facebook : www.facebook.com/okmagthailand
Twitter : twitter.com/okthailand

 

 

Comments

comments

okadmin

นิตยสาร OK! เป็นนิตยสารรายแรกและเพียงรายเดียวที่อัพเดตข่าวคราวของเหล่าดาราทั้งในและต่างประเทศได้อย่างเจาะลึกทุกซอกทุกมุม รวมทั้งเรื่องส่วนตัวของเหล่าศิลปินและดาราสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

RELATED ARTICLES

เช็กระดับความสนิทของคู่จิ้นสุดป๊อปบิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุลและ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร พร้อมอัพเดทผลงานล่าสุด “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” (I told sunset about you) ซีรีส์แนว Romantic Coming of Age ที่จะทำให้แฟนๆ ได้อินทะลุจอกันอีกครั้ง!
คูเปอร์-ภัทรพสิษฐ์ ณ สงขลา และปอย-กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช คู่จิ้นมาแรงที่ฮอตทั้งหน้าตาและความสามารถ